ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 19-21 – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 19-21

บทที่ 20 สามคนหนึ่งครอบครัว

ตอนเฉินอิ๋งตื่นขึ้นมาอีกครั้งฟ้ายังคงมืดอยู่ เทียนที่ถูกจุดอยู่ยังมุมห้องดับมอดแล้ว เสียงลมหายใจแผ่วเบาดังลอยอยู่ภายในห้อง

สาวใช้เวรดึกยังคงหลับใหลไม่รู้เนื้อรู้ตัว

หลังจากนอนอยู่บนเตียงต่ออีกครู่หนึ่ง เฉินอิ๋งก็ผลักผ้าห่มลุกขึ้นนั่ง

เสียงเตียงลั่นเอี๊ยดอ๊าด จือสือที่นอนอยู่ข้างๆ สะดุ้งตื่น นางขยี้ตาพลางถามอย่างสะลึมสะลือว่า “คุณหนูต้องการดื่มน้ำหรือเจ้าคะ”

“ไม่ใช่ ข้าแค่อยากลุกลงจากเตียงเท่านั้น” เฉินอิ๋งห่อคลุมร่างไว้ใต้เสื้อคลุมเรียบร้อยแล้ว นางยื่นมือหมายจะเลิกม่าน

จือสือได้สติขึ้นมาทันที นางรีบพลิกตัวหยิบเสื้อขึ้นสวม กุลีกุจอสวมรองเท้าตรงไปจุดเทียน หลังจากนั้นก็เดินมาเลิกม่านให้เฉินอิ๋งพลางเอ่ยปาก “วันนี้คุณหนูตื่นเช้าจริงๆ”

“เช้านี้เกรงว่าจะไม่ว่างสักเท่าใดนักเลยต้องรีบตื่นมาฝึกกิจวัตรยามเช้าให้เสร็จ” เฉินอิ๋งปิดปากหาวคราหนึ่ง

อากาศอบอุ่นแล้ว คิดตื่นเช้าจึงไม่ได้ยากลำบากอะไรนัก นับเป็นโชคมหาศาล

หลังนั่งอยู่ข้างเตียงครู่หนึ่ง นางก็หยิบเอาชุดเจี้ยนซิ่ว* ที่แขวนอยู่เหนือหัวเตียงลงมาสวมพลางกำชับเสียงแผ่ว “ข้ายังไม่รีบอาบน้ำแปรงฟัน ไปจัดการเตรียมธนูและลูกธนูให้เรียบร้อยก่อน ข้าจะรีบตามไป”

“เช้าเช่นนี้?” มือของจือสือหยุดขยับ สีหน้าวิตกกังวลปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ยามนี้อากาศด้านนอกยังหนาวอยู่ คุณหนูจะรออีกสักครู่หรือไม่ ไว้พระอาทิตย์ขึ้นแล้วค่อยว่ากันอีกที”

เฉินอิ๋งสวมชุดเจี้ยนซิ่วของบุรุษลงบนตัวเรียบร้อยแล้ว กำลังค้อมเอวสวมรองเท้าหุ้มข้อ พอได้ยินเช่นนั้นนางก็ยิ้มตอบ “ไม่เป็นไร อย่างไรอากาศตอนนี้ก็อุ่นกว่าเมื่อสองเดือนก่อนอยู่บ้าง”

จือสือรู้ดีถึงนิสัยของคุณหนูของตนเอง ขอเพียงเป็นเรื่องที่ตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าใครจะพูดโน้มน้าวเช่นไรก็ไม่มีทางสำเร็จ จึงได้แต่รับคำ เดินไปเลิกม่านประตู เรียกสาวใช้ตัวน้อยสองคนเข้ามาปรนนิบัติรับใช้ ก่อนจะออกไปจัดการเรื่องราวต่างๆ ด้วยตนเอง

สิ่งที่เฉินอิ๋งต้องทำทุกวันตอนเช้าคือคัดอักษร ฝึกมวย ยิงธนู

วิธีคัดตัวอักษรของนางไม่เหมือนกับคนอื่น มือเท้าล้วนมีแท่งเหล็กแขวนไว้ ยามฝึกห้ามงอขา มือห้ามสั่น ตัวอักษรห้ามเอียง ตัวอักษรเขียนสวยหรือไม่เป็นเรื่องรอง กำลังมือและกำลังขาสอดคล้องกับลมหายใจหรือไม่ต่างหากถึงจะเป็นสิ่งสำคัญ

ส่วนฝึกมวยกลับเป็นศิลปะการต่อสู้แบบคิกบ็อกซิ่งที่ได้รับสืบทอดมาจากคุณนักสืบ นางทำได้เพียงไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น ขอแค่พอใช้ป้องกันตัวยามฉุกเฉินเท่านั้นก็พอแล้ว

หลังฝึกทั้งสองอย่างเสร็จ ก็มาถึงช่วงฝึกธนู

นับแต่สามปีก่อนหลังฝึกทักษะพื้นฐานจนชำนาญ เฉินอิ๋งก็จัดแผนการฝึกซ้อมทุกๆ สิบวันที่ละเอียดมากกว่าเดิมขึ้นชุดหนึ่ง หมุนเวียนฝึกฝนทักษะการยิงธนูซับซ้อนอย่างการออกธนูติดๆ กันให้เร็วที่สุด เป้าเคลื่อนที่ไปตามความเร็วลมและสภาพอากาศ อีกทั้งยังมีเป้ากีดขวางที่เฉินอิ๋งคิดค้นขึ้น

เพื่อให้ฝีมือยิงธนูพัฒนามากยิ่งขึ้น นางยังสั่งคนให้ทำธนูสำหรับฝึกกำลังฉุดสำหรับฝึกแรงแขนขึ้นเป็นการเฉพาะ

ตอนนี้นางใช้ธนูที่มีแรงดึงสายเท่ากับน้ำหนักห้าสิบชั่งของยุคปัจจุบัน อัตราความแม่นยำอยู่ที่เจ็ดสิบส่วน

กว่าจะยุ่งกับการฝึกฝนช่วงเช้าเสร็จ พระอาทิตย์ก็ไต่ขึ้นไปอยู่เหนือกำแพงแล้ว ครั้นล้างหน้าแปรงฟันเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นที่เรียบร้อย เฉินอิ๋งก็พาสวินเจินและจือสือสองคนไปกล่าวทักทายหลี่ซื่อ

หลี่ซื่อเพิ่งตื่น บางทีอาจเพราะคืนก่อนได้นอนหลับพักผ่อนเต็มที่ ใบหน้านางยามนี้จึงปรากฏเลือดฝาดให้เห็นอยู่จางๆ ขับดุนใบหน้างดงามให้เปล่งประกายเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน นางสวมอาภรณ์กันหนาวทอไหมปักกลุ่มบุปผาสีน้ำเงินเข้มกลางเก่ากลางใหม่ ท่อนล่างคือกระโปรงหม่าเมี่ยน ผ้าลู่โฉว สีเหลืองรังไหม เส้นผมรวบเก็บเอาไว้ง่ายๆ นั่งพักอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย ริมหน้าต่าง

สาวใช้ที่ชื่อเจี้ยงอวิ๋นคุกเข่านั่งอยู่บนที่วางเท้า กำลังใช้กำปั้นสาวงาม ทุบขาให้หลี่ซื่อ พอเห็นเฉินอิ๋งเข้ามานางก็รีบแสดงคารวะ

เฉินอิ๋งโบกมือพลางยิ้มบอก “เจ้าจัดการกับธุระของเจ้าเถอะ”

เจี้ยงอวิ๋นแย้มยิ้มพลางทุบขาให้หลี่ซื่อต่อ

เฉินอิ๋งเดินเข้าไปค้อมกายคารวะ “อรุณสวัสดิ์ท่านแม่”

“เจ้ามาแต่เช้า เร็วกว่าพี่ชายเจ้าเสียอีก” หลี่ซื่อได้ยินเสียงเฉินอิ๋งก่อนแล้ว นางมองดูอีกฝ่าย สายตาอ่อนหวานละมุนละไมยิ่ง “ดูเจ้า ยังเช้าอยู่เลยแต่หน้าเล็กๆ นั่นกลับแดงระเรื่อแล้ว”

“ท่านแม่ดีขึ้นบ้างหรือไม่” เฉินอิ๋งนั่งลงบนตั่งลายดอกไห่ถัง เอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยความห่วงใย

หลี่ซื่อยิ้มอ่อนโยน แววตารักใคร่เอ็นดู “เด็กดี โชคดีที่เจ้าเปลี่ยนหมอคนใหม่มา แค่กินยาไปสองเทียบอาการของแม่ก็ดีขึ้นมาก เมื่อคืนหลับสนิทตลอดคืน เช้านี้ตื่นมารู้สึกมีกำลังวังชาไม่ใช่น้อย”

“เช่นนั้นก็ดี” รอยยิ้มแท้จริงระบายอยู่บนใบหน้าของเฉินอิ๋ง แววตาใสกระจ่างโค้งเรียวเป็นรูปจันทร์เสี้ยว “ครานี้ท่านแม่ป่วยกะทันหัน ฝืนใช้ยาครึ่งๆ กลางๆ พวกนั้นเกรงว่ากว่าจะหายคงอีกนาน หมอหลวงจางอยู่กับท่านย่ามานาน ใช้ยาอันใดล้วนระมัดระวัง”

ยาดังกล่าวเหมาะที่จะใช้รักษาผู้สูงอายุ ทว่าหลี่ซื่อหาได้มีความจำเป็นเช่นนั้น

“แม่ว่าท่านหมอหม่าก็ไม่เลว ไม่ว่าเช่นไรเขาก็มาจากหุยชุน” หลี่ซื่อยิ้มบอก

หุยชุนเป็นโรงหมอมีชื่อในเมืองเซิ่งจิง ท่านหมอหม่าประจำอยู่ที่นั่น เรื่องทักษะแพทย์ย่อมไม่มีอะไรให้ต้องพูดถึง

หลังสองแม่ลูกพูดคุยสัพเพเหระกันอยู่ครู่หนึ่ง เสียงสาวใช้ที่อยู่ทางด้านนอกก็ดังขึ้น “คารวะคุณชายรอง”

หลี่ซื่อแย้มยิ้ม “ในที่สุดพี่ชายของเจ้าก็มา พวกเรากินข้าวเช้าด้วยกันเร็วหน่อยก็แล้วกัน” นางมองดูเฉินอิ๋งพลางพูดเสียงแผ่ว “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานแม่รู้หมดแล้ว เจ้าทำได้ดีมาก เสียก็แต่ที่นี่วันนี้คงเลี่ยงเสียงเอะอะไม่ได้แล้ว”

เพราะเข้าใจในความหมายของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี พวกนางจึงทำเพียงยิ้มหยุดบทสนทนาไว้ชั่วคราว เฉินจวิ้นเดินเข้ามา และแสดงคารวะต่อหลี่ซื่อ

เฉินจวิ้นรูปร่างหน้าตาคล้ายเฉินเซ่าผู้เป็นบิดา หล่อเหลางดงาม ครั้นสวมใส่อาภรณ์ยาวสีเขียวต้นไผ่ก็ยิ่งขับดุนให้แลดูสูงโปร่งมากยิ่งขึ้น บนเส้นผมดำขลับมีปิ่นหยกปักอยู่อันหนึ่ง ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของคุณชายผู้สูงศักดิ์ ทำเอาเฉินอิ๋งดูคล้ายมิใช่น้องสาวร่วมอุทร

“ท่านแม่รีบให้ตั้งโต๊ะอาหารเถอะ ลูกหิวจนท้องแทบจะแนบติดแผ่นหลังอยู่แล้ว” เพิ่งนั่งลงได้ไม่ทันไรเฉินจวิ้นก็เริ่มเอ่ยปากร้องหิว กลิ่นอายคุณชายสูงส่งบนตัวถูกทำลายลงจนหมดสิ้น

คนที่อยู่เต็มห้องต่างพากันหัวเราะ หลี่ซื่อเองก็อดหัวเราะไม่ได้เช่นกัน นางคว้ากำปั้นสาวงามในมือเจี้ยงอวิ๋นทุบลงบนตัวบุตรชายเบาๆ คราหนึ่ง “เจ้าลิงตัวนี้ ต่อหน้าแม่รู้จักแต่ทำเป็นเล่น”

เฉินจวิ้นนวดไหล่พลางบ่นเจ็บ ก่อนจะเรียกมามาให้เข้ามาช่วยนวด หลี่ซื่ออดหัวเราะออกมาอีกคราวไม่ได้ เมื่อครู่นางสั่งให้คนตั้งโต๊ะอาหารแล้ว พวกนางสามคนแม่ลูกกินอาหารกันเงียบๆ พูดคุยสัพเพเหระกันครู่หนึ่ง ครั้นเห็นผู้เป็นมารดาสีหน้าเหนื่อยอ่อน พวกเขาสองพี่น้องก็เอ่ยปากขอตัวลา

“วันนี้ท่านพี่ทำได้ดีมาก ทำท่านแม่หัวเราะถึงสามครั้ง ยิ้มอีกสิบเจ็ดครั้ง หนำซ้ำยังกินข้าวได้ครึ่งถ้วย แป้งม้วนอีกครึ่งชิ้น” ทันทีที่สองพี่น้องเดินขึ้นไปอยู่บนระเบียงประสาน เฉินอิ๋งก็เอ่ยปากชมเฉินจวิ้นออกมาทันที

เฉินจวิ้นไม่ได้ดีใจที่ถูกชม ตรงกันข้ามกลับมีสีหน้าโกรธขึ้งโมโห “เหตุใดทุกครั้งต้องให้ข้าทำเรื่องเช่นนี้ด้วย เจ้าหยอกเย้าท่านแม่ให้ยิ้มไม่ได้หรือไร ข้าเป็นพี่ของเจ้า แต่เจ้ากลับสั่งข้าทำเรื่องพวกนี้”

เฉินอิ๋งมองตาอีกฝ่าย มุมปากยกยิ้มอยู่ในองศาแปลกประหลาด “พี่รู้สึกว่าข้าเหมาะอย่างนั้นหรือ”

เฉินจวิ้นจ้องใบหน้าของผู้เป็นน้องสาวครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าห่อเหี่ยว “เจ้าไม่เหมาะจริงๆ”

หลังจากนั้นเขาก็ใช้มือเชิดคางเฉินอิ๋ง พิจารณาดูนางตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาเพ่งพินิจปรากฏชัด “ข้าว่าน้องสาม เจ้าเกิดมาถึงจะไม่งดงาม แต่ก็ไม่ได้อัปลักษณ์ แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้ยิ้มน่าเกลียดน่าชังเช่นนั้น”

“ข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า” เฉินอิ๋งยิ้มมุมปากอีกคราว “ข้าเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เกิดแล้ว ก็เหมือนกับพี่ที่เกิดมาก็หล่อเหลางามสง่า”

เฉินจวิ้นชอบฟังคำพูดนี้ที่สุด เขาสองมือไพล่หลังรวดเร็ว หันหลังให้เฉินอิ๋งวางท่าคล้ายกำลังทอดตามองไกลออกไปพลางพูดทอดถอนใจว่า “พี่ชายของเจ้าเป็นผู้มีรูปงามที่สุดในบรรดาสี่บุรุษผู้งามสง่าแห่งสำนักศึกษาหลวง เกิดมาก็หน้าตางดงามหล่อเหลาเกินกว่าผู้ใด”

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com