ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 22-24
บทที่ 22 ถามถึงเรื่องราวในอดีต
จะว่าไป เรื่องที่บ้านสามมีอนุถึงสามคนนี้ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ หากไม่ใช่เพราะยกเรื่องทายาทสืบสกุลขึ้นอ้าง ผนวกกับมารดาของเสิ่นซื่อออกหน้าขอร้องด้วยตนเอง ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ไหนเลยจะตกลงอนุญาต เพราะนอกจากบ้านสามแล้ว บ้านอื่นในจวนกั๋วกงไม่เพียงห้ามไม่ให้มีการรับอนุ แม้แต่สาวใช้ห้องข้างก็ไม่ได้
หนึ่งสามีหนึ่งภรรยาร่วมอบรมเลี้ยงดูบุตรธิดาจึงกลายเป็นเรื่องปกติของจวนกั๋วกง ดังนั้นสถานการณ์ของบ้านสามแตกต่างกว่าบ้านอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด
“เอ๋? พี่ใหญ่ก็อยู่ด้วย วันนี้ทุกคนต่างมากันพร้อมหน้าเชียว พี่สาม หรือว่าพี่ลงมือเขียนเทียบเชิญทุกคนมา” ทันทีที่เข้ามาถึงในห้อง เฉินหานก็เริ่มเอ่ยปากกระเซ้าราวกับลืมเรื่องที่เมื่อคืนถูกเฉินอิ๋งฉีกหน้าไปจนสิ้น
จู่ๆ เฉินอิ๋งก็นึกอยากสูบบุหรี่
คุณนักสืบเป็นสิงห์อมควันในชุดสูทรองเท้าหนัง โดยเฉพาะตอนกำลังครุ่นคิดเรื่องคดี บุหรี่เรียกได้ว่าแทบไม่เคยอยู่ห่างมือ ในฝันยาวนานตลอดห้าปีเฉินอิ๋งอาศัยโฉมหน้าของเขาพูดจาปฏิบัติการ ใช้วิธีการของเขาวินิจฉัยอนุมาน ดังนั้นจึงยากที่จะไม่ได้รับอิทธิพลจากอีกฝ่าย
นางถึงกับนึกสงสัยว่ารอยยิ้มพิลึกพิลั่นของตนเองนั้นก็ได้รับอิทธิพลมาจากคุณนักสืบใช่หรือไม่
“น้องสี่ขายาวจริงๆ ที่นี่เพิ่งตั้งน้ำชาได้ไม่ทันไรพวกเจ้าก็มากันแล้ว” ด้วยเพราะเฉินจิ่นเป็นบุตรีคนโตที่เกิดจากฮูหยินใหญ่ นางจึงสามารถวางท่าได้เต็มเปี่ยม เฉินจิ่นกวาดตามองไปยังพวกเฉินชิงที่อายุยังน้อยก่อนจะเลิกคิ้วถาม “แค่เอ่ยปากทักทายพวกเจ้าก็ทำไม่เป็นอย่างนั้นหรือ”
คุณหนูอายุยังน้อยเหล่านั้นเพราะเกรงกลัวนางอยู่ไม่ใช่น้อย ดังนั้นจึงไม่กล้าพูดคุยหัวเราะเหมือนก่อนหน้า ต่างพากันเอ่ยปากหวาดๆ ว่า “คารวะพี่ใหญ่ คารวะพี่สาม”
ถึงจะมีกันสามคน แต่เสียงของพวกนางกลับแผ่วเบาเป็นที่สุด ต้องเงี่ยหูฟังถึงจะได้ยินชัด
เฉินจิ่นสองคิ้วยกสูงและตวาด “เงยหน้าขึ้น หลังตรง ห้ามหดหัวเป็นนกกระทาเช่นนั้น ดูได้เสียที่ไหน”
ยิ่งนางวางท่าเคร่งขรึมจริงจัง คุณหนูตัวน้อยทั้งหลายก็ยิ่งพากันหวาดหวั่น โดยเฉพาะเฉินเหมยที่อายุน้อยที่สุด ยามนี้ถึงกับหน้าตาซีดเผือด
เฉินหานเท้าคางยิ้มหวานคอยมองอยู่ข้างๆ “ให้พี่ใหญ่สั่งสอนเสียบ้าง พาพวกเจ้ามาด้วยนับว่าข้าคิดถูกแล้ว” ขณะกำลังพูดนางก็กวาดตามองมาทางคุณหนูหกเฉินหยวน ความรู้สึกอิจฉาไม่สมวัยปรากฏชัดอยู่บนใบหน้า
เฉินจิ่นงดงามโดดเด่น ในเมืองเซิ่งจิงเรียกว่ามีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่ประจักษ์ชัด ส่วนหน้าตาของคุณหนูหกเฉินหยวนกลับเหนือกว่าเฉินจิ่นขึ้นไปอีกขั้น
ยามนี้นางเพิ่งจะอายุแปดขวบเท่านั้น แม้จะยังไม่โตเต็มที่ แต่หูตาจมูกคิ้วคางกลับเหมือนดั่งหลุดออกมาจากภาพวาด หลังจากนี้อีกสองสามปีเชื่อว่าย่อมสามารถเติบโตเป็นโฉมสะคราญล่มเมืองได้ไม่ยาก
พอเห็นเฉินหานจ้องตนเองเขม็งเช่นนั้น เฉินหยวนก็กลัวจับจิตจับใจ นางแอบขยับไปหลบอยู่หลังเฉินชิงคล้ายนึกอยากขดตัวเป็นก้อน
“น้องหกมานี่ มาอยู่ข้างๆ พี่ใหญ่” เฉินจิ่นกวักมือเรียกเฉินหยวน สายตากวาดมองไปทางเฉินหาน เผยให้เห็นสายตาดูแคลน ก่อนจะถอดกำไลเส้นทองฝังมุกฝีมือประณีตบนข้อมือออก กวัดแกว่งมันไปมาพลางบอกกับเฉินหยวน “ดูนี่ เจ้าว่าสวยหรือไม่”
“สะ…สวย” เฉินหยวนบอก สองเท้าขยับไปขยับมาอย่างไม่เป็นสุขและไม่สำรวมนัก
ถึงแม้จะหน้าตางดงาม แต่น่าเสียดายที่ขาดการอบรมชี้แนะ อากัปกิริยาจึงไม่สู้ดีนัก แค่ปริปากก็เผยให้เห็นถึงนิสัยขี้ขลาดได้แล้ว
เฉินจิ่นนึกทอดถอนใจเล็กๆ สุดท้ายก็ยื่นกำไลส่งให้นาง “รับไปสิ ข้าให้”
เฉินหยวนไม่กล้ารับ นางหันไปมองเฉินหานด้วยสีหน้าท่าทางน่าเวทนา
เฉินหานคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม นางพยักหน้ากล่าว “พี่ใหญ่ให้เจ้าก็รับไว้สิ โอกาสจะได้รับน้ำใจจากพี่ใหญ่เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นี่นับเป็นวาสนาของเจ้าแล้ว ข้าล่ะอิจฉาเจ้าจริงๆ”
เฉินหยวนส่งเสียง “อืม” เขลาๆ ออกมาคำหนึ่ง รับเอากำไลของเฉินจิ่นไปดูอยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้มแย้มเบิกบาน ชูกำไลขึ้นส่องกับพระอาทิตย์และเอ่ยปากชื่นชม “สวยจริงๆ” ก่อนจะยิ้มตาหยีไปทางเฉินจิ่น “ขอบคุณพี่ใหญ่”
ยิ้มนี้ไม่ต่างอะไรกับหิมะละลายวสันต์ย้อนหวนมวลบุปผาผลิบาน ชวนให้คนเคลิบเคลิ้มหลงใหลยิ่ง แม้แต่เฉินอิ๋งยังรู้สึกตาพร่ามัว
เฉินจิ่นเองก็มองตาค้างไปชั่วขณะ ครั้นกลับกลายได้สติอีกครั้งนางก็ถอนหายใจลูบศีรษะของเฉินหยวน พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “พวกเจ้าไปเล่นเถอะ” ก่อนจะหันกลับมาขึ้นเสียงสั่ง “ใครก็ได้ พาคุณหนูทั้งหลายออกไปเล่นกันข้างนอก ที่นั่นเหมือนจะมีชิงช้าอยู่อันหนึ่ง พวกเจ้าเฝ้าดูแลให้ดีๆ”
สาวใช้สองสามนางขานรับขึ้นพร้อมกันก่อนจะล้อมพาคุณหนูทั้งหลายออกไป เพียงไม่นานเสียงหัวเราะกระจ่างชัดของเด็กน้อยก็ดังก้องอยู่ภายในลานเรือน
“ช่างเถอะ ให้พวกนางเล่นอยู่ข้างนอกดีแล้ว” เฉินจิ่นจิบชาคำหนึ่งพลางมองเฉินอิ๋ง สุดท้ายก็เอ่ยปากเข้าเรื่อง “น้องสาม วันนี้ที่ข้ามาไม่มีอื่นใด แค่อยากคุยกับเจ้าถึงเรื่องเมื่อวาน”
เฉินหานรีบนั่งตัวตรง เบิกตามองเฉินอิ๋ง “ท่านแม่เองก็ให้ข้ามาถามพี่สามถึงเรื่ององค์รัชทายาทจะทรงคัดเลือกพระชายาเอกเหมือนกัน”
เฉินอิ๋งรู้สึกเหนือความคาดหมาย นางมองดูอีกฝ่ายปราดหนึ่ง
เพิ่งจะปะทะคารมกันไปเมื่อคืน วันนี้เฉินหานกลับเปลี่ยนท่าที พูดจาตรงไปตรงมากับเฉินอิ๋ง ท่าทีเช่นนี้เรียกได้ว่ากลายกลับรวดเร็วเกินไป
เฉินอิ๋งอดทอดถอนใจไม่ได้ สำหรับคนบางคนแล้วนิสัยไม่อยากเห็นใครในครอบครัวได้ดีไปกว่าตนนั้นมีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด
“ข้าตอบคำถามของน้องสี่ก่อนก็แล้วกัน” นางบอกก่อนจะยิ้มมุมปากให้กับเฉินหาน “เรื่องนี้คงต้องให้น้องสี่กลับไปบอกอาสะใภ้สามด้วยว่าเรื่องขององค์รัชทายาทรบกวนอาสะใภ้สามไปถามท่านย่าเองจะดีกว่า”
เฉินหานตัวแข็งทื่อ เฉินจิ่นที่อยู่ข้างๆ หลุดหัวเราะ
‘ตรงไปตรงมา’ ที่เฉินอิ๋งชอบก็คือบทสนทนาเยี่ยงนี้
“ไม่ทราบพี่ใหญ่ต้องการคุยกับข้าเรื่องใด” เฉินอิ๋งหันมาทางเฉินจิ่น
เฉินจิ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องแรกที่ข้าอยากรู้คือตอนนั้นเหตุใดน้องสามถึงมองออกว่าในแขนเสื้อของเถาจือผู้นั้นมีเงินซ่อนอยู่”
ปัญหาข้อนี้เมื่อคืนนางครุ่นคิดมาตลอดทั้งคืนแต่ก็ไม่อาจเข้าใจ ไม่ต่างอะไรกับมีกระดูกหรือก้างติดอยู่ในคอ จึงเอ่ยถามมันออกมาก่อน
“ข้าสังเกตเห็น” เฉินอิ๋งตอบออกมาอย่างไม่ลังเล นางพูดพลางยกแขนทั้งสองข้างทำท่าชูแขนเสื้อ “ก่อนหน้านี้ตอนตรวจเกล็ดน้ำตาลบนแขนเสื้อ เถาจือยกแขนขวาขึ้นดู แต่แขนซ้ายกลับแนบติดอยู่กับลำตัวโดยตลอด ใช้เพียงมือขวาจับแขนเสื้อข้างซ้ายพลิกดูไปมา ข้าจึงอนุมานว่าแขนเสื้อข้างซ้ายของนางต้องซ่อนของสำคัญอะไรบางอย่างไว้”
เฉินจิ่นขมวดคิ้วนึกย้อนกลับไปครู่หนึ่ง แต่กลับจำไม่ค่อยได้ว่ามีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น ที่นางจำได้มีก็แต่เสียงก้อนเงินหล่นกระทบพื้นเท่านั้น
เฉินจิ่นเปลี่ยนมาถามคำถามที่สอง “น้องสามรู้ว่าก้อนเงินในแขนเสื้อนางเป็นของจากในวังหลวง?”
“เรื่องนี้ข้าไม่รู้” เฉินอิ๋งส่ายหน้า นางเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายต้องการถามอันใด “ที่ข้าบอกได้มีเพียงหนึ่งเดียวคือบนตัวของเถาจือต้องซ่อนของที่เซี่ยนจู่ประทานให้แน่ ขอเพียงมีหลักฐาน เซี่ยนจู่ย่อมไม่อาจปฏิเสธ”
“แล้วหากกัวย่วนให้เงินก้อนธรรมดาๆ เล่า เจ้ามิเท่ากับไร้ซึ่งหลักฐานมัดตัวนางหรือ” เฉินจิ่นขมวดคิ้ว ซักไซ้ถามต่อ
เฉินอิ๋งยิ้มมุมปาก “พี่ใหญ่เคยเห็นเซี่ยนจู่ใช้ข้าวของธรรมดาๆ อย่างนั้นหรือ”
เฉินจิ่นตะลึง นางยิ้มออกมาอย่างรวดเร็วและพยักหน้าพูด “อืม จะว่าไปก็ใช่ ข้าไม่เคยเห็นนางใช้ข้าวของจากข้างนอกเลยจริงๆ แม้แต่จินซานซื่อ* ของนางก็ยังเป็นของที่ทำจากในวัง”
นางยิ้มมองเฉินอิ๋งพร้อมเอ่ยปากชื่นชม “น้องสาม เจ้าช่างละเอียดรอบคอบยิ่งนัก แม้แต่เรื่องนี้ก็ยังนึกขึ้นได้ ข้าในเวลานั้นในหัวมีแต่ความว่างเปล่า ไม่ว่าอันใดก็ล้วนแต่จำไม่ได้”
“พี่สามปกติไม่ค่อยพูดจา ที่แท้ก็เก็บงำซ่อนความไว้ ไม่มีใครดูออกแม้แต่คนเดียว” เฉินหานพูดขึ้นบ้าง