บทที่ 220 ชั้นเชิงเด็กกับผู้อาวุโส
เฉินเซียงกัดริมฝีปาก ขยับเข้าไปใกล้เฉินอิ๋งเพิ่มเล็กน้อย เอ่ยวาจาแผ่วเบาว่า “ในเมื่อน้องสามต้องการฟัง เช่นนั้นข้าก็จะเล่าให้เจ้าฟัง ก่อนพวกเราเดินทางออกจากเมืองหลวงไม่นาน ฝ่าบาทจู่ๆ ก็มีพระราชโองการประณามองค์หญิงใหญ่”
พูดถึงตรงนี้เสียงของนางก็กดต่ำลงอีกจนแทบจะกลายเป็นเสียงกระซิบ “ว่ากันว่าครั้งนี้ฝ่าบาทกริ้วมากจริงๆ องค์หญิงใหญ่คุกเข่าอยู่บนพื้นอิฐนอกตำหนักเซวียนเต๋ออยู่ถึงสองชั่วยาม กว่าจะทรงเรียกคนเข้าไปตำหนิอย่างไม่ไว้หน้าอีกรอบ หนำซ้ำยังสั่งให้คนตรวจสอบอายัดทรัพย์สินภายใต้พระนามขององค์หญิงใหญ่อีกจำนวนหนึ่ง”
เฉินอิ๋งฟังพลางพยักหน้า ถึงนางพอจะทายถึงสาเหตุที่ทำให้ฮ่องเต้หยวนจยาทรงพระพิโรธได้อยู่เลาๆ แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังคงเอ่ยปากถาม “เหตุใดฝ่าบาทถึงต้องประณามองค์หญิงใหญ่ด้วย”
ยังไม่ทันที่เฉินเซียงจะได้เปิดปาก เฉินหานก็ชิงพูดออกมาเสียก่อน “ก็เพราะท่านลุงตัวดีของท่านอย่างไรเล่า” นางมองดูเฉินอิ๋งด้วยสายตายินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น ใบหน้าแดงก่ำไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้น “ท่านลุงตัวดีของพี่สามสืบคดีทุจริตยักยอกเงินหลวง แต่สุดท้ายสืบไปสืบมากลายเป็นองค์หญิงใหญ่ข่มเหงรังแกชาวบ้าน ขูดรีดเอารัดเอาเปรียบราษฎร”
เฉินอิ๋งส่งเสียง “อืม” เบาๆ ออกมาคราหนึ่งพลางถาม “น้องสี่รู้รายละเอียด?”
“ข้าย่อมต้องรู้อยู่แล้ว” เฉินหานเชิดหน้าได้ใจ เอ่ยวาจาอย่างหน้าชื่นตาบาน “ว่ากันว่าองค์หญิงใหญ่ทรงฝากพระนามไว้ที่ร้านค้าอะไรสักร้าน ร้านนั่นฉวยโอกาสอาศัยพระนามขององค์หญิงใหญ่ปรับราคาสินค้าชั้นต่ำ สินค้าเก่าเก็บขึ้นหลายเท่า หลังจากนั้นก็บังคับให้พวกพ่อค้าคนอื่นๆ นำสินค้าเข้า บังเอิญมีพ่อค้าโชคร้ายรายหนึ่งดันเป็นชาวเติงโจว ท่านลุงของท่านไม่พูดไม่จา ไม่ทักทายชาวบ้านสักคำก็เอาเรื่องนี้ทูลฟ้องฝ่าบาททันที”
พูดถึงตรงนี้นางก็อดส่งเสียงเย้ยหยันผู้อื่นออกมาไม่ได้ “ฮึ ท่านลุงของพี่สามผู้นั้นช่างเป็นขุนนางตงฉิน ทำอันใดล้วนเพื่ออาณาประชาราษฎร์โดยแท้”
คำพูดนี้แม้จะฟังดูดี แต่สีหน้าท่าทางของเฉินหานกลับเต็มไปด้วยร่องรอยถากถางประชดประชัน
เฉินอิ๋งตอบกลับอย่างรวดเร็ว นางพยักหน้าผสมโรง “น้องสี่พูดได้ถูกต้องยิ่งนัก ท่านลุงทำการใดล้วนเพื่อชาวบ้าน ยินดีออกหน้าเพื่อชาวประชา นับเป็นขุนนางที่ดีจริงๆ ขุนนางต้าฉู่หากสามารถเป็นเช่นนี้ได้ บ้านเมืองมีหรือจะไม่รุ่งโรจน์”
เฉินหานตะลึงงัน ความรู้สึกไม่พอใจอัดแน่นอยู่ในอก
นางฟังภาษาคนไม่รู้ความหรือไร
หรือนางฟังถ้อยความถากถางที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้นไม่ออก
หลังจากจ้องเฉินอิ๋งเขม็งอยู่ครู่หนึ่ง เฉินหานก็เอ่ยออกมาคราหนึ่ง “ชิ พี่สาม ท่านจะดีใจไปไย องค์หญิงใหญ่ทรงถูกลงโทษก็เพราะท่านลุงของท่าน หรือพี่สามฟังที่ข้าพูดไม่เข้าใจ”
“แล้วเช่นไร” เฉินอิ๋งย้อนถามด้วยใบหน้าสงบนิ่ง “องค์หญิงใหญ่ทรงกระทำความผิด ย่อมสมควรถูกลงโทษ ต่อให้ไม่ใช่ท่านลุง ก็ต้องมีขุนนางอื่นนำเรื่องนี้ไปรายงานให้ฝ่าบาททรงทราบอยู่ดี”
พูดถึงตรงนี้จู่ๆ นางก็เปลี่ยนหัวเรื่อง กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ว่าแต่น้องสี่เถิด เจ้าใส่ใจเรื่องการบ้านการเมืองเช่นนี้ แม้จะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอีกทั้งยังสามารถช่วยเปิดความคิดให้กว้างขวาง ทว่าจะพูดจะจาอย่างไรก็สมควรระวังตัวให้มาก คำพูดของเจ้าเมื่อครู่หากคนที่ได้ยินมีจิตคิดร้าย โทษฐาน ‘ล่วงเกินเบื้องสูง’ คงไม่แคล้วได้ครอบอยู่บนศีรษะเจ้าเป็นแน่ เจ้าควรรู้ไว้ คนที่เปิดโปงเรื่องนี้แม้จะเป็นท่านลุงของข้า แต่คนที่ลงโทษองค์หญิงใหญ่กลับเป็นฝ่าบาท”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกจากปากของเฉินอิ๋ง เฉินหานก็ตะลึงลานขึ้นมาทันที หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เหงื่อเย็นก็ไหลท่วมแผ่นหลังของนาง
เพียงเพราะสนใจแต่จะกระแหนะกระแหนเฉินอิ๋ง นางถึงได้ลืมเรื่องนี้สิ้น หากไม่ใช่เพราะเฉินอิ๋งเตือนไว้ วาจาน่าเกลียดน่าชังมากกว่านี้คงไม่แคล้วได้หลุดออกจากปากนางแน่ ถึงตอนนั้นมิเท่ากับ…
นางไม่กล้าคิดต่อ ร่างกายจู่ๆ ก็ขดงอเข้าหากัน แต่ทันใดนั้นนางก็ฝืนทำเป็นไม่สนใจไยดี เชิดหน้าคอแข็งกล่าว “ไม่…ไม่จำเป็นต้องให้ท่านมายุ่ง!”
เฉินอิ๋งไม่ได้คิดจะจับจุดอ่อนของอีกฝ่าย นางต้องการก็แค่เตือนสติเฉินหานเท่านั้น