ฮ่องเต้หยวนจยาทรงเป็นเจ้าแผ่นดินผู้ประเสริฐ มีความคิดอ่านกว้างไกล ราชสำนักเองก็ไม่มีโทษล่วงเกินเบื้องสูง ทว่าคำพูดของเฉินหานเมื่อครู่เรียกได้ว่าขาดสติยั้งคิดจริงๆ เฉินอิ๋งเอ่ยปากเตือนก็เพราะกลัวน้องสาวมุทะลุผู้นี้จะแกว่งเท้าหาเสี้ยนโดยไม่รู้ตัว
“ขอบคุณน้องสามที่เตือน” เฉินเซียงกลับมาได้สติ นางเอ่ยปากแผ่วเบาใบหน้าซีดเผือด
เฉินอิ๋งแย้มยิ้มไม่พูดไม่จาอันใดอีก ยามนี้เชื่อว่าเฉินหานคงเพราะนึกกลัว จึงมิได้พูดอะไรออกมาเช่นกัน ด้วยเหตุนี้บรรยากาศจึงกลับกลายเป็นเงียบงัน
ทว่าความเงียบกลับปกคลุมอยู่ได้ไม่นานนักหลี่ซื่อก็กลับเข้ามา นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “กลับกันก่อนเถอะ พวกเจ้าเองก็คงเหน็ดเหนื่อยไม่ใช่น้อยแล้ว”
เฉินหานคล้ายโล่งอก พวกนางสามพี่น้องกล่าวรับคำขึ้นพร้อมกัน คนทั้งสี่ก้าวเท้าออกจากเรือนรุ่ยเจ่า
หลังจากเดินนิ่งเงียบอยู่ระยะหนึ่ง หลี่ซื่อก็ถามเฉินเซียงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้ารอง พวกเจ้าเดินทางมาจี่หนานครานี้คงราบรื่นดีกระมัง ท่านแม่ของพวกเจ้าสุขภาพเป็นเช่นไรบ้าง พี่น้องคนอื่นๆ สบายดีใช่หรือไม่”
คำพูดนี้เดิมก็แค่วาจาเกรงอกเกรงใจเท่านั้น ทว่าเฉินเซียงกลับตอบทุกคำถาม ภาษาที่ใช้ล้วนเปี่ยมไปด้วยมารยาท
ฝ่ายเฉินหานเห็นได้ชัดว่าลืมเรื่องก่อนหน้านี้ไปจนสิ้น ยามนี้นางกลอกตาไปมา ยิ้มเอ่ยปากพูดแทรกขึ้นว่า “ทั้งหมดก็ด้วยเพราะบารมีของท่านป้ารอง ทำให้ข้ากับพี่รองได้เปิดหูเปิดตาแล้ว หากไม่มีท่านป้ารอง หลานกับพี่รองไหนเลยจะมีโอกาสได้เดินทางเยี่ยงนี้”
คำพูดนี้หาใช่วาจาดีๆ อันใดไม่ แม้จะเห็นว่าเป็นถ้อยความเกรงอกเกรงใจ แต่แท้ที่จริงแล้วกลับแฝงไว้ซึ่งอารมณ์ประชดประชันและแค้นเคืองอยู่หลายส่วน
หลี่ซื่อราวกับฟังไม่เข้าใจ นางยิ้มอ่อนโยน “เด็กโง่ อยู่ที่นี่แล้วยังจะเกรงอกเกรงใจป้าอีก” นางพูดพลางกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะยิ้มกล่าว “คนรับใช้ของพวกเจ้าเหมือนจะมีอยู่ไม่มาก ช่างเถอะ ไว้วันพรุ่งนี้ป้าจะบอกกับฮูหยินผู้เฒ่า ให้นางหามามาที่มีอายุมากหน่อยสักสองสามคนมาคอยปรนนิบัติรับใช้พวกเจ้า พวกนางคอยสั่งสอนกฎเกณฑ์มารยาทต่างๆ ให้ป้าตั้งแต่ยังเล็ก ทุกคนล้วนฉลาดเฉลียวมีความสามารถ มีพวกนางอยู่รับใช้ใกล้ชิดพวกเจ้า ป้าย่อมวางใจ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินหานแข็งขืนขึ้นมาทันที
มามาที่มีอายุ?
สอนกฎเกณฑ์มารยาท?
คนพวกนั้นมิใช่บ่าวไพร่ที่รับมือยากที่สุดหรือไร
กับมามาสูงวัยพวกนั้น พวกนางต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายให้เกียรติ ไม่เหมือนพวกสาวใช้ตัวน้อยที่ปล่อยให้คนจัดการได้ตามอำเภอใจ หลี่ซื่อเอ่ยปากบอกจะส่งมามาที่รับมือด้วยยากยิ่งมาให้เช่นนี้หมายความเช่นไร
เฉินหานส่งสายตาให้กับเฉินเซียงอย่างเอาเป็นเอาตาย หมายบอกให้อีกฝ่ายปริปากปฏิเสธ
น่าเสียดายเฉินเซียงไม่ชำเลืองดูนางแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับก้มหน้ารับคำอย่างว่านอนสอนง่าย
เฉินหานทั้งโมโหทั้งคับแค้นใจ ทว่าเพราะจนปัญญาไม่อาจทำอันใดได้ จึงได้แต่เปิดปากฝืนยิ้ม “ท่านป้ารองเกรงใจกันเกินไปแล้ว บ่าวไพร่ของพวกเรามีมากพอแล้ว หาจำเป็นต้องรบกวนท่านป้ารองเช่นนั้นไม่”
“เด็กผู้นี้ยังจะเกรงอกเกรงใจอันใดอีก เรื่องนี้ป้าไม่ตกลงรับปาก” น้ำเสียงของหลี่ซื่ออ่อนโยนยิ่งยวด ทว่าแต่ในเวลาเดียวกันก็เด็ดเดี่ยวยิ่งนัก “ในเมื่อพวกเจ้าเรียกป้าว่าท่านป้า เช่นนั้นป้าย่อมมีหน้าที่ต้องดูแลพวกเจ้าอย่างเหมาะสม นี่เป็นหน้าที่ของผู้อาวุโสเช่นป้า หากพวกเจ้ายังเกรงอกเกรงใจเช่นนี้อีก ป้าคงต้องโมโหแล้ว”
วาจาทีเล่นทีจริง อ่อนนอกแข็งในเช่นนี้ทำเอาเฉินหานถึงกับพูดอะไรไม่ออก รอยยิ้มบนใบหน้ากลับกลายเป็นน่าเกลียดน่าชังเสียยิ่งกว่าร่ำไห้
หลี่ซื่อกวาดตามองนางคราหนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งอบอุ่นอ่อนโยน นางพูดเสียงเล็กเสียงน้อยว่า “เด็กดี พวกเจ้าคงไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาครานี้ป้าดีใจเพียงใด มีพวกเจ้าอยู่ด้วยป้าย่อมไม่เงียบเหงาแล้ว ต่อไปไม่ว่าจะคัดคัมภีร์ ทำงานฝีมือเย็บปักถักร้อยอันใดล้วนมีคนคอยอยู่เป็นเพื่อน แค่คิดป้าก็สุขใจยิ่งแล้ว” พูดๆ อยู่นางก็ขมวดคิ้ว ใบหน้าแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กๆ แววตาวิตกกังวล ก่อนจะเอ่ยวาจานุ่มนวลออกมาอีกครา “พวกเจ้าคงไม่นึกรังเกียจหาว่าป้าน่าเบื่อกระมัง เพราะหากเป็นเช่นนั้นป้าคงเจ็บปวดใจยิ่งนัก”