บทที่ 221 ค่อยๆ บดขยี้
คำพูดนี้เรียกได้ว่าอ่อนข้อให้กันอย่างที่สุด ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินหานกลับกลายเป็นแข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด
คัดคัมภีร์?
เย็บปักถักร้อย?
แค่ต้องรับมือกับแบบฝึกเรียนจากอาจารย์ที่ถาโถมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันพวกนางก็ทำแทบไม่ไหวแล้ว ยามนี้หลี่ซื่อยังจะคิดให้นางทำโน่นนั่นนี่มากมายอีก
หรือว่าภายภาคหน้าพวกนางจะได้แต่ต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้สายตาของผู้อาวุโสเหล่านี้
สีหน้าของเฉินหานกลับกลายเป็นย่ำแย่ถึงขีดสุด แม้ใจจะอยากเอ่ยปากปฏิเสธ แต่กลับถูกหลี่ซื่อเล่นงานจนไปไม่ถูก หมดหนทางขัดขืน แต่หากยอมรับแต่โดยดีเช่นนั้นวันหน้านางจะดำเนินชีวิตเช่นไร
พอเห็นเฉินหานร้อนรนจนหน้าเขียวเช่นนั้น เฉินอิ๋งก็ได้แต่ถอนหายใจอยู่ข้างๆ
ไยต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วย
คนที่มีความสามารถเพียงน้ำครึ่งถังอย่างเฉินหาน ไหนเลยจะเอาชนะคนที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ภายในเรือนในอย่างหลี่ซื่อได้ ไม่จำเป็นต้องลงมืออันใด แค่คำพูดสองประโยคหลี่ซื่อก็บดขยี้เฉินหานจนเละเป็นโจ๊กได้แล้ว
“ท่านป้ารอง ข้า…หลาน…ปกติยังมีแบบฝึกเรียนมากมายต้องจัดการ เกรงว่าเรื่องคัดคัมภีร์…เอ่อ…” เฉินหานกัดริมฝีปากพูดพลางฟั่นผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือ เม็ดเหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก รู้สึกเหมือนตัวอักษรแต่ละตัวล้วนยากจะเอื้อนเอ่ย
หลี่ซื่อไม่พูดอันใด ทำเพียงยิ้มมองดูนางด้วยแววตาอ่อนโยน ทว่าในดวงตากลับแฝงความหมายอื่น ขณะเดียวกันก็เหมือนไม่มีความหมายอื่นใด
รอยยิ้มของอีกฝ่ายทำเฉินหานขวัญผวา แม้จะอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ครู่หนึ่ง แต่นางก็ไม่อาจปริปากพูดอันใดได้อีก ทำได้แต่ปิดปากใบหน้าคล้ำเขียว
“เด็กโง่ ป้าก็แค่ล้อพวกเจ้าเล่นเท่านั้น เหตุใดถึงถือเป็นจริงเป็นจังเช่นนี้ได้” จู่ๆ หลี่ซื่อก็ยิ้มออกมา ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก ท่าทางสงบนิ่ง “เรื่องคัดคัมภีร์พวกนั้นเด็กๆ อย่างพวกเจ้าไหนเลยจะทนไหว หรือเจ้าเห็นว่าป้าเป็นท่านป้าที่ใจร้ายเยี่ยงนั้น”
ยังคงเป็นวาจาอ่อนข้อ แต่ภายในกลับแฝงไว้ซึ่งคมมีดกรีดเฉือน
เฉินหานถึงจะไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมด แต่ถึงกระนั้นนางก็ฟังออกว่าคำพูดดังกล่าวแฝงความนัยอันใดไว้ ถึงจะมีใจหมายเอ่ยปากสวนกลับแรงๆ สักหลายประโยค แต่ในหัวกลับนึกถ้อยคำอันใดไม่ออก
ทันใดนั้นจู่ๆ หลี่ซื่อก็เก็บผ้าเช็ดหน้า เอ่ยปากคล้ายยินดีคล้ายโมโห “ทว่าเด็กอย่างพวกเจ้าก็หาควรทำตัวเหินห่างเกินไปไม่ มิเช่นนั้นป้าอาจรู้สึกละอายใจจนต้องส่งมามาไปปรนนิบัติรับใช้พวกเจ้าเสียหลายๆ คน”
นี่มิใช่วาจาโน้มน้าวแต่อย่างใด หากแต่เป็นการเตือนกันอย่างโจ่งแจ้ง คาดว่าอาจเพราะกลัวเฉินหานฟังไม่เข้าใจ หลี่ซื่อจึงชี้แจงแถลงไขออกมาตรงๆ
ได้ยินคำว่า ‘มามา’ สองคำ เฉินหานก็ใจเต้นระส่ำ คำพูดมาถึงปากจู่ๆ ก็วกเลี้ยวไปทางอื่น รอยยิ้มยังคงแขวนค้างอยู่บนใบหน้า “ขอบคุณ…เอ่อ…ท่านป้ารองที่ใส่ใจ วันหน้าพวกหลานสองพี่น้อง…เอ่อ…ต้องขยันไปมาหาสู่ญาติพี่น้องทุกคนแน่ คำสั่งสอนของท่านป้ารอง…เอ่อ…หลานย่อมต้องรับฟัง”
สวรรค์เบื้องบนรู้ว่าคำพูดนี้ของนางตะกุกตะกักลิ้นพันกันเพียงใด วาจาตลบตะแลงพลิกลิ้นก่อนหน้านี้ถูกนางกลืนกลับลงท้องหมดสิ้น เปลี่ยนกลับมาเป็นวาจาเรียงร้อยรื่นหูพวกนี้แทน
“คำพูดของเจ้านี้นับว่ากล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก” หลี่ซื่อยิ้มรับคำ นางลูบผมเฉินหานและเฉินเซียงด้วยความเอ็นดูรักใคร่พลางกล่าวอ่อนโยน “วันหน้าพวกเราก็อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันแล้ว พวกเจ้าสองคนก็อย่าได้เกรงอกเกรงใจป้าเช่นนั้นอีก อยากกินอยากเที่ยวเล่นอันใดก็บอกมา ถือเสียว่าที่นี่คือบ้านของพวกเจ้า”
“ขอบคุณท่านป้ารอง” เฉินเซียงกับเฉินหานกล่าวออกมาพร้อมกัน
จนถึงเพลานี้เฉินหานถึงได้โล่งอกโล่งใจขึ้นมาจริงๆ จังๆ แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังคงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม กลัวว่าหากหลี่ซื่อนึกสนุกเรียกพวกนางไปอยู่เป็นเพื่อนคัดคัมภีร์หรือส่งมามาสูงวัยกลุ่มใหญ่มาควบคุมเข้มงวดกวดขัน เช่นนั้นนางคงต้องได้อึดอัดจนล้มป่วยแน่
เฉินเซียงก้มหน้าก้มตาตลอดเวลา ติ่งหูแดงระเรื่อน้อยๆ คล้ายเริ่มอึดอัด เห็นได้ชัดว่านางเข้าใจในคำพูดของหลี่ซื่อที่มีต่อเฉินหาน แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่พูดอันใดแม้เพียงครึ่งคำ
ครั้นเห็นเช่นนั้นหลี่ซื่อก็ให้นึกเอ็นดูอีกฝ่าย