เผยซู่เองก็มาที่จี่หนานแล้วเช่นกัน เขาเดินทางตามพวกเฉินอิ๋งมาติดๆ เมื่อสองสามวันก่อนตอนได้ยินข่าว เฉินอิ๋งก็รู้สึกตกใจ แต่ที่ทำนางตกใจยิ่งไปกว่านั้นคือองค์รัชทายาทก็เสด็จมาที่จี่หนานด้วย จนถึงยามนี้ยังมิได้เสด็จจากไปที่ใด
เฉินอิ๋งไม่รู้ว่าพวกเขากำลังทำเรื่องอันใด แต่ข่าวที่ได้มาจากเผยซู่ เรื่องราวที่ซานตงคล้ายจะยังไม่จบสิ้น มีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาสืบพบเบาะแสอะไรบางอย่าง ที่เขานัดเฉินอิ๋งออกไปเจอกันครานี้ หนึ่งคงเพื่อบันทึกคดีสังหารคนของกู่ต้าฝูที่ต้องนำไปทูลเกล้าถวายให้ฮ่องเต้หยวนจยา สองน่าจะมี ‘เรื่องสำคัญ’ ต้องการพูดคุยกับนาง ส่วนจะเป็นเรื่องอันใดนั้น หลี่เหิงที่เป็นคนนำความมาบอกนางกลับไม่รู้
‘ท่านโหวน้อยเดินทางมาในครั้งนี้เป็นความลับ ไม่สะดวกมาเยี่ยมเยือนถึงเรือนชาน จึงได้แต่ต้องให้เจ้าสามออกไปพบเจอกันข้างนอก’ นี่คือคำพูดเดิมของหลี่เหิง
หากมิใช่เช่นนั้น หลี่ซื่อไหนเลยจะยอมตกลงรับปากเรื่องนี้ง่ายๆ
ที่แท้หลี่ซื่อตั้งใจจะรอให้ถึงวันหยุดของเฉินจวิ้นก่อนจะได้ให้เขาช่วยคุ้มครองส่งผู้เป็นน้องสาว แต่เพราะเผยซู่นัดหมายกะทันหัน ส่วนพวกเฉินจวิ้นยามนี้ก็เข้าไปเรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษาเฉวียนเฉิงแล้ว หลี่กงเองก็เดินทางไปเยี่ยมสหายสนิทของผู้เป็นอาจารย์ที่อำเภอหลินเซี่ยน ดังนั้นเฉินอิ๋งจึงได้แต่ต้องเดินทางไปตามลำพัง
สถานที่นัดหมายคือเหลาสุรา ‘หอชุมนุมหลูโจว’ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจี่หนาน พื้นที่ละแวกนั้นไม่คึกคักเท่าพื้นที่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ แต่ถึงกระนั้นก็มิได้ถึงขนาดเปลี่ยวเหงา และเพราะมีพ่อค้าวาณิชรวมตัวกันอยู่ค่อนข้างมาก ปริมาณผู้คนที่สัญจรไปมาจึงมีอยู่ไม่ใช่น้อย เรียกได้ว่าเป็นสถานที่สำหรับ ‘เร้นกายอยู่ภายในเมือง’
รถม้าจอดลงที่หน้าหอ เฉินอิ๋งเลิกม่านเดินลงจากรถ แค่ชายตาเพียงปราดเดียวนางก็สังเกตเห็นหลางถิงอวี้ที่ยืนรออยู่ที่หน้าประตูได้แล้ว
“คุณชายสามมาถึงแล้ว นายท่านของพวกผู้น้อยรออยู่นานแล้วขอรับ” หลางถิงอวี้เดินขึ้นหน้าทักทายพลางส่งสายตาให้เฉินอิ๋ง
เฉินอิ๋งเข้าใจได้ทันที นางโบกมือยิ้มกล่าว “ข้ามาสาย อีกสักครู่จะลงโทษตนเองสามจอก”
หลางถิงอวี้หัวเราะร่าออกมาสองคำ ก่อนจะพาเฉินอิ๋งเดินผ่านประตูเข้าไป หลัวมามาตามติดอยู่ทางด้านหลัง สวินเจินกับจือสือไม่ได้ตามเข้าไปด้วย
พวกนางสองคนแต่งกายเป็นบ่าวชายได้ไม่เหมือนนัก ดังนั้นเฉินอิ๋งจึงให้พวกนางรออยู่ในรถ ให้หลัวมามาตามเข้าไปเป็นเพื่อนเพียงลำพัง แม้การที่คุณชายผู้หนึ่งมีมามาตามรับใช้อยู่ข้างกายจะดูแปลกประหลาดอยู่บ้าง แต่ถึงกระนั้นก็ยังพอกล้อมแกล้มผ่านไปได้ ไม่ถึงขนาดสะดุดตาผู้คนจนเกินไป
ครั้นเข้าไปถึงภายใน เฉินอิ๋งถึงพบว่าหอชุมนุมหลูโจวแห่งนี้หาใช่อาคารสูงตระหง่านแต่อย่างใด หากกลับเป็นสิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะคล้ายลานเรือนตั้งกระจายกันอยู่ห่างๆ ที่นั่งภายในโถงใหญ่ด้านหน้าล้วนแยกย้ายเป็นอิสระออกจากกัน มีประตูบานเล็กเชื่อมต่อไปยังลานเรือนด้านหลัง ในสวนคือเรือนขนาดเล็กงดงามหลายหลัง ที่ปรากฏต่อสายตาคือผืนน้ำเขียวสะพานสลักลาย ถึงจะไม่จัดว่ากว้างใหญ่ แต่โครงสร้างองค์ประกอบของมันกลับประณีตวิจิตร เรียกได้ว่าทุกย่างก้าวล้วนทัศนียภาพงดงาม เต็มไปด้วยมนตร์เสน่ห์แห่งเจียงหนาน
“นายท่านของพวกผู้น้อยบอกว่าที่นี่สงบเงียบ” หลางถิงอวี้ที่อยู่ข้างๆ พูดแนะนำ สีหน้าผ่อนคลายยิ่ง “เด็กรับใช้ที่นี่ก็ไม่ทำตัวจุกจิกน่ารำคาญ หากมีเรื่องต้องการเรียกใช้แค่เรียกออกมาคราหนึ่งพวกเขาก็พร้อมปรากฏตัวขึ้นทันที แต่หากไม่มีกิจธุระพวกเขาก็จะไม่ปรากฏตัวเข้ามาสร้างความรำคาญอันใด อาหารก็ไม่เลว”
เฉินอิ๋งฟังพลางเดินขึ้นหน้าตามอีกฝ่ายไป เพียงไม่นานก็เข้าไปถึงยังเรือนเล็กหลังหนึ่ง ที่หน้าประตูสลักอักษรจ้วน* เป็นคำว่า ‘ลิ้มสุรา’ ไว้สองคำ กว่านางจะอ่านออกก็หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่
“ข้าคิดว่าท่านจะมาช้ากว่านี้เสียอีก นึกไม่ถึงว่าจะมารวดเร็วเยี่ยงนี้” คนยังไม่ทันมาถึง เสียงของเผยซู่กลับมาถึงเสียก่อน
น้ำเสียงทุ้มต่ำสบายๆ ชวนเคลิบเคลิ้มดังขึ้นท่ามกลางแสงตะวันยามบ่าย ประหนึ่งบุรุษในอาภรณ์ชั้นเดียวกำลังลิ้มสุราด้วยอารมณ์อันสุนทรีย์
ด้วยเพราะจินตนาการงดงามเยี่ยงนี้ไว้ จึงทำให้เฉินอิ๋งเผยยิ้มออกมาน้อยๆ ยามมองเห็นเผยซู่
โครงหน้าเด่นชัดที่ปรากฏอยู่ต่อสายตาไม่อาจเรียกว่าหล่อเหลาสง่างามได้ ตาชั้นเดียวคู่นั้นก็จัดว่าค่อนข้างเล็ก ทว่านี่กลับไม่เป็นอุปสรรคต่อความรู้สึกจำเริญหูจำเริญใจที่นางมีในยามนี้
บางทีอาจต้องบอกว่าจำเริญตาด้วย
ชวนมองกับมีเสน่ห์เดิมก็เป็นแนวคิดคนละแบบ
อย่างน้อยในยามนี้เฉินอิ๋งก็รู้สึกว่าบนตัวของเผยซู่มีเสน่ห์ยากบรรยายอยู่ประการหนึ่ง
“คารวะท่านโหวน้อย” เฉินอิ๋งทักทายออกมาคราหนึ่ง
ภายใต้แสงตะวันอบอุ่นแห่งฤดูหนาว สตรีในชุดเจี้ยนซิ่วสีฟ้าสว่างที่กำลังเดินเข้ามานั้นดวงตาใสกระจ่าง ผิวขาวสล้างจอนผมดำขลับ สะอาดสะอ้านราวกับหิมะแรก
ทันใดนั้นจู่ๆ เผยซู่ก็รู้สึกว่ารอยยิ้มและน้ำเสียงเช่นนี้ชวนให้คนรู้สึกเบิกบานใจยิ่งนัก