บทที่ 223 ตัวเลขสี่กลุ่ม
เผยซู่ยกยิ้มมุมปากด้วยความเคยชิน ตาที่ไม่ใหญ่นักคู่นั้นหรี่ลง “คารวะคุณชายสาม”
พอพูดจบเขาก็ปัดอาภรณ์สีดำบนตัวคราหนึ่ง แขนยาวๆ เหยียดยืด เลิกเปิดม่านผ้าดิ้นหนาหนัก “เชิญคุณชายสามเข้าไปคุยกันในห้องเถอะ”
เฉินอิ๋งพยักหน้า ยกเท้าเดินเข้าไปด้านใน
การจัดวางภายในห้องเป็นไปอย่างเรียบง่ายงามสง่า โต๊ะเก้าอี้ตั่งไม้ล้วนทำจากไม้พะยูงหอม ที่อยู่ข้างผนังคือชั้นวางหนังสือ ด้านบนคือหนังสือที่พบเจอได้ทั่วไปตามท้องตลาด บรรยากาศภายในห้องคล้ายอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจางๆ ของหมึก บนโต๊ะมีพานผลไม้ฝีมือประณีตวางตั้งอยู่ ที่อยู่บริเวณมุมผนังคือเตาดินเผา น้ำในกากำลังเดือดปุดๆ ไอร้อนพวยพุ่งชวนให้รู้สึกอบอุ่น
เฉินอิ๋งถอดเสื้อคลุมขนสัตว์ออก ยื่นส่งมันให้กับหลัวมามา หลังจากนั้นก็หยิบเอาบันทึกในแขนเสื้อที่เตรียมไว้ก่อนหน้าออกมาวางลงบนโต๊ะเบาๆ “นี่เป็นบันทึกการสืบคดีของกู่ต้าฝู เชิญท่านโหวน้อยรับไว้”
เผยซู่รับมันไว้ก่อนจะนั่งลงที่ฝั่งตรงกันข้าม พลิกอ่านดูสองหน้า ก่อนจะเอ่ยปากคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “คุณชายสามบันทึกได้ละเอียดยิ่งนัก”
แม้จะฟังออกถึงวาจาหยอกเย้าของอีกฝ่าย แต่เฉินอิ๋งก็มิได้ประชดประชันอันใดกลับ นางยังคงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “นี่เป็นข้อตกลงระหว่างข้ากับฝ่าบาท ย่อมมิอาจมีอันใดผิดพลาด”
ทันทีที่คำว่า ‘ฝ่าบาท’ หลุดออกจากปากนาง สีหน้าของเผยซู่ก็กลับกลายเป็นแข็งทื่อขึ้นมาทันที เขาเบะปาก “เรื่องนี้ข้าย่อมต้องรู้ คุณชายสามรับพระราชโองการสืบคดี ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นถึงเสินทั่นป้ายทอง”
มุมปากของเฉินอิ๋งขยับ รอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ปรากฏชัด นางตอบกลับอีกฝ่ายด้วยวาจาถ่อมตนสำเร็จรูปประโยคหนึ่ง “ท่านโหวน้อยชื่นชมกันเกินไปแล้ว”
มุมปากของเผยซู่เบะออกยิ่งกว่าเดิม เขามิได้พูดอันใดอีก
เฉินอิ๋งเองก็เช่นกัน
บรรยากาศภายในห้องจึงกลับกลายเป็นเงียบงัน
ยังดีที่ความเงียบนี้มิได้ชวนคนกระอักกระอ่วน ถ่านไฟในเตาส่งเสียงเผียะผะอยู่เป็นพักๆ สลับกับเสียงลมพัดปะทะผ้าม่าน จึงมิได้เงียบสงัดจนเกินไปนัก
หลังจากนิ่งเงียบกันไปพักหนึ่งเฉินอิ๋งก็ปริปากขึ้นก่อน “ไม่ทราบว่าท่านโหวน้อยให้ข้ามาพบถึงนี่มีธุระสำคัญอันใด”
เผยซู่เหมือนถูกเสียงของเฉินอิ๋งปลุกตื่นจากภวังค์ เขากลับมาได้สติ โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เก็บบันทึกเข้าไว้ในแขนเสื้อพลางกล่าวเสียงขรึม “ข้ามีเรื่องเรื่องหนึ่งต้องการขอคำปรึกษา เกี่ยวกับเขากุ่ยคูนั่น”
ถึงเขาจะพูดออกมาตรงๆ ไม่มีอ้อมค้อม ทว่าถ้อยความกลับคลุมเครือไม่ชัดแจ้ง แต่ถึงกระนั้นเฉินอิ๋งก็พอเข้าใจได้ว่าเรื่องเกี่ยวกับเขากุ่ยคูที่เขาพูดถึงนั้น ไม่แคล้วต้องเกี่ยวกับเรือนตากอากาศของคังอ๋องนั่นเป็นแน่
“มีอะไรกระนั้นหรือ หรือว่าที่นั่นมีปัญหาอันใด” นางหยิบเอาขนมในถาดขึ้นมาส่งเข้าปาก น้ำเสียงผ่อนคลายยิ่งยวด
เผยซู่พยักหน้า สีหน้ากลับกลายเป็นจริงจัง “ใช่แล้ว คนของข้าพบเศษกระดาษบางส่วนในเรือนตากอากาศนั่น”
“หืม?” หัวคิ้วของเฉินอิ๋งขยับ ดวงตาใสกระจ่างดุจน้ำวับวาวเป็นประกายขึ้นมาแวบหนึ่ง “หรือว่าเศษกระดาษพวกนี้มีอันใดพิเศษ”
เผยซู่มิได้พูดอันใด หากกลับหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ กดมันไว้ด้วยสองนิ้ว แล้วเลื่อนมันมาตรงหน้าเฉินอิ๋งช้าๆ
สมาธิของเฉินอิ๋งยามนี้ถูกกระดาษแผ่นนั้นดึงดูดไว้หมดสิ้น หลังใช้ผ้าเช็ดนิ้วมือจนสะอาด นางก็รับกระดาษแผ่นนั้นมา คลี่มันออกพิจารณาดูโดยละเอียด
นี่น่าจะมิใช่ต้นฉบับ กระดาษกับน้ำหมึกยังใหม่ ตัวอักษรบนกระดาษหนักแน่น เส้นตวัดซ้ายขวาคมกริบราวกับคมมีด
เฉินอิ๋งเงยหน้ามองเผยซู่คราหนึ่ง “ท่านโหวน้อยคัดลอกมันด้วยตนเอง?”
“ใช่แล้ว” เผยซู่ตอบรับเสียงทุ้ม สายตาเคร่งขรึม
เฉินอิ๋งยิ้มก่อนจะก้มหน้าดูมันอีกครั้ง ที่อยู่บนกระดาษคือตัวเลขสี่กลุ่ม
หนึ่งร้อยยี่สิบเก้า ห้า
สามสิบเจ็ด หกสิบเจ็ด
หนึ่งร้อยหนึ่ง แปดสิบหก
สิบสอง สาม
ตัวเลขสองชุดประกอบกันเป็นหนึ่งกลุ่ม เรียงกันอย่างไม่เป็นระบบระเบียบ จากที่นางเห็น ระหว่างตัวเลขกับตัวเลข ระหว่างกลุ่มกับกลุ่ม คล้ายไม่มีอันใดสัมพันธ์กันตรงๆ