บทที่ 226 จัดหาที่พักให้แก่ผู้อพยพ
เผยซู่มิได้พูดอันใด ที่ก้องดังอยู่ภายในห้องตั้งแต่แรกจนจบก็มีเพียงน้ำเสียงสงบนิ่งดุจสายน้ำนั่นเท่านั้น
“โลกนี้ล้วนแต่กล่าวว่าบุรุษมีปณิธาน แต่กลับไม่เคยมีผู้ใดยอมมอบโอกาสให้สตรีได้แสดงปณิธานแม้เพียงครั้ง ยามนี้ที่ข้าต้องการทำล้วนเพื่อปณิธานแห่งตน” น้ำเสียงของนางค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นแผ่วเบาคล้ายบอกกล่าวกับตนเอง “บางทีเส้นทางสายนี้อาจยากลำบากยิ่งยวด หรือบางทีบนโลกอาจไม่เคยมีเส้นทางนี้อยู่นับแต่แรก ทว่าสิ่งที่ข้าทำได้มีก็แต่…เดินได้ถึงที่ไหนก็เดินถึงที่นั่น”
ถ้อยคำสุดท้ายสิบพยางค์ราวกับดึงพลังของเฉินอิ๋งไปจนสิ้น นางเงียบงันไป รอยยิ้มบนใบหน้าสะอาดสะอ้านแลดูแปลกประหลาดพลางมองดูเผยซู่คล้ายกำลังรอฟังคำตอบของเขา
บางทีอาจบอกได้ว่าที่นางกำลังรอคือคำปฏิเสธของอีกฝ่าย
นางไม่อาจหวังให้บุรุษในสมัยต้าฉู่เข้าใจความฝันของนาง และไม่ปรารถนาจะโกหกปิดบังเผยซู่
ยามเผชิญหน้ากับคนร้ายหรือความจริง หลายครั้งที่นางมักเล่นเล่ห์เพทุบาย ใช้ทักษะบางอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งข่าวสารที่นางต้องการ
มีเพียงความฝันและศรัทธาเท่านั้นที่ไม่อาจทรยศ
ดังนั้นนางจึงพูดกับเผยซู่ตามตรง บอกเล่าความคิดอ่านที่ผู้คนในยุคนี้มองเห็นเป็นเรื่องผิดปกติทั้งหลายออกมาจนสิ้น
นางไม่กลัวจะถูกผู้คนเข้าใจว่าเป็นคนวิกลจริต
สตรีพิลึกพิลั่นที่ได้รับป้ายทองเสินทั่นพระราชทานจากฮ่องเต้อันที่จริงก็ต่างจากผู้คนในยุคนี้มากมายอยู่แล้ว
บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัดชวนกลั้นหายใจ
ลมเหนือพัดม้วนม่านผ้าดิ้นเบาๆ หอบเอาเกล็ดหิมะเล็กละเอียดกับกลิ่นหอมกรุ่นเข้ามาภายใน อากาศแจ่มใสเย็นยะเยือกแม้จะชวนปลาบปลื้ม แต่ก็มิอาจปัดกวาดบรรยากาศหนักอึ้งเสมือนวัตถุมีน้ำหนักออกไปได้
เผยซู่นั่งนิ่งมาโดยตลอด เขาหลุบตาก้มหน้าไม่ต่างอันใดกับหลวงจีนเฒ่าเข้าฌาน
เขานิ่งเงียบเนิ่นนาน…นานจนเฉินอิ๋งอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าเขาได้ยินที่นางพูดหรือไม่
ยังดีที่หลังจากรออยู่พักใหญ่ ในที่สุดเผยซู่ก็เอ่ยปาก คำพูดประโยคแรกที่เขากล่าวตรงข้ามกับที่เฉินอิ๋งคาดคิด
“เรื่องนี้ข้าว่าข้าน่าจะพอช่วยได้” เสียงของเขายังคงแหบพร่า ทว่าความรู้สึกเศร้ารันทดหายไปหมดสิ้นแล้ว ที่เข้ามาแทนที่กลับเป็นอารมณ์ความรู้สึกแปลกประหลาดคล้ายยกภูเขาออกจากอก
“ข้ายินดีช่วยออกหน้า วิ่งเต้นทำเรื่องต่างๆ ให้ ทว่าเรื่องราวเป็นรูปธรรมอันใดคงต้องให้คุณชายสามเป็นคนรับผิดชอบตัดสินใจเอง เพราะอีกหนึ่งเดือนให้หลังข้าต้องจากไปแล้ว”
เฉินอิ๋งมองดูเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเงียบๆ ออกมาคราหนึ่ง
ยามนี้นางกับเขาต่างเหมือนกัน คล้ายยกภูเขาออกจากอก
“ขอบคุณท่านโหวน้อยมาก” นางลุกขึ้นยืน ประสานมือย่อกายแสดงคารวะต่อเผยซู่ด้วยท่าทีจริงจัง
เฉินอิ๋งสวมใส่อาภรณ์เจี้ยนซิ่วที่แลดูทะมัดทะแมงแต่กลับแสดงคารวะอย่างอ่อนน้อมเช่นนี้ทำให้นางแลดูพิลึกพิลั่นยิ่งนัก
เผยซู่มุมปากกระตุก เผยสีหน้าขบขันออกมา “ช่างเถอะ ข้าติดค้างน้ำใจคุณชายสามอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าเช่นไรก็ควรทำอะไรเป็นการตอบแทนบ้างถึงจะดี”
เฉินอิ๋งเหยียดตัวตรง สีหน้าเคร่งขรึม “น้ำใจเหล่านั้นไหนเลยจะเทียบกับคุณธรรมสูงส่งของท่านโหวน้อยได้ วันหน้าหากมีอันใดต้องการให้ข้าเฉินอิ๋งช่วยเหลือ ขอเพียงท่านโหวน้อยออกปาก ข้าย่อมไม่มีทางปฏิเสธ”
ได้ยินเช่นนั้นเผยซู่ก็อดตะลึงลานไม่ได้
เขามองเฉินอิ๋งอยู่ครู่หนึ่ง อ้าปากหมายพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายกลับหยุดเพียงเท่านั้น สีหน้ากลับกลายเป็นแปลกประหลาดพิลึกพิลั่น
หลังจากผ่านไปสองสามอึดใจ ในที่สุดเขาก็เปิดปาก น้ำเสียงเคลิบเคลิ้มคล้ายสุรารสชาตินุ่มละมุนเปลี่ยนบรรยากาศหนาหนักเคร่งขรึมภายในห้องให้กลับมามีชีวิตชีวามากขึ้น
“ตกลงตามนั้น” เขาพูดออกมาสี่คำพลางยิ้มให้กับเฉินอิ๋ง
เฉินอิ๋งมองเห็นรอยยิ้มบริสุทธิ์เช่นนี้ของเขาเป็นครั้งที่สองแล้ว ครั้งแรกที่เขายิ้มแย้มเช่นนี้คือตอนที่ค่ายกลในเขากุ่ยคูถูกทำลายลง
“ขอบคุณท่านโหวน้อย” นางยิ้มตอบกลับเช่นกันพร้อมกล่าวคำขอบคุณออกมาอีกครา หลังจากนั้นก็ยกชายอาภรณ์นั่งกลับลงบนเก้าอี้ ยกมือแตะมวยผมพลางกล่าว “เรื่องนี้อันที่จริงข้าแค่ต้องการให้ท่านโหวน้อยช่วยออกหน้าให้ก็เท่านั้น ทว่ายามนี้สถานการณ์ที่จี่หนานกลับทำให้ข้ารู้สึกเป็นกังวล”
ถึงหลายวันนี้นางเท้าจะไม่ได้ออกจากเรือน ทว่านางยังคงรับรู้ได้ว่าประเพณีท้องถิ่นของจี่หนานนั้นค่อนข้างปิดกั้น กฎเกณฑ์สำหรับเหล่าดรุณีทั้งหลายนั้นเข้มงวดกว่าที่อื่นมากนัก
และก็ด้วยเพราะเหตุนี้นางถึงดึงเรื่องนี้ไว้จนถึงยามนี้ ล้มเลิกความคิดที่จะขอให้กัวหว่านช่วยออกหน้า
ฐานะชาติกำเนิดของกัวหว่านพิเศษมากพออยู่แล้ว เฉินอิ๋งไม่อยากสร้างความยุ่งยากอันใดให้กับนางอีก ไว้สถานการณ์ในวันหน้ามั่นคงเสียก่อน บางทีพวกนางอาจร่วมมือกันได้อีกครั้ง