ทันใดนั้นนางก็ได้ยินฮั่วมามากล่าวขึ้นอีก “และนับแต่นั้นถ้อยคำเล่าลือข้างนอกนั่นก็เริ่มเปลี่ยน บอกว่าท่านโหวกับคุณหนูใหญ่สองคนต่างหากถึงเป็น ’ดาวพิฆาต’ แท้จริง ต้องให้คนทั้งบ้านตายหมดก่อนถึงจะพอใจ ท่านโหวยามนั้นเพิ่งจะอายุสิบขวบเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นชาย ด้วยเหตุนี้ถึงจะได้ยินคำพูดพวกนั้นแต่ก็ยังสามารถทำเป็นหูทวนลมได้ ทว่าคุณหนูใหญ่ยามนั้นอายุสิบหกแล้ว กำลังอยู่ในวัยออกเรือนมีครอบครัว แต่เพราะถ้อยคำเล่าลือพวกนั้นทำให้ไม่มีคนตระกูลดีๆ ที่ใดมาสู่ขอ พวกที่มาก็ต่างเป็นพวกเกียจคร้านไม่เอาไหน ฮูหยินผู้เฒ่าด้วยเพราะโมโหยิ่ง จึงตัดสินใจบอกออกไปว่าคุณหนูต้องไว้ทุกข์แสดงความกตัญญู ก่อนอายุสิบเจ็ดจะไม่พูดคุยถึงเรื่องแต่งงานอันใด”
นางคล้ายพูดจนเหนื่อย หลังจากดื่มชาและหยุดพักครู่หนึ่ง ฮั่วมามาก็เอ่ยปากเล่าต่อ “จะว่าไปคุณหนูใหญ่เองก็เป็นดรุณีใสซื่อไม่มีพิษมีภัย วาจาเหลวไหลด้านนอกพวกนั้นนางถึงกับยึดถือเป็นเรื่องจริง ถึงกับตัดสินใจนำพาบ่าวไพร่สองสามคนเดินทางไปพำนักอยู่ที่นอกเมือง บอกว่าจะไม่ยอมให้ดวงของตนเองข่มชะตาของผู้เป็นน้องชายได้เด็ดขาด วันๆ เฝ้าสวดมนต์กินเจ แม้แต่เสื้อผ้าสีสันสดใสอันใดก็ไม่ยอมสวมใส่ ใช้ชีวิตไม่ต่างอันใดกับหญิงชรา”
พอพูดถึงตรงนี้ฮั่วมามาก็สะอึกสะอื้น หลังจากอดทนฝืนข่มอยู่ครู่หนึ่งนางก็กล่าวต่อ “คุณชายสามไม่เคยพบเห็นคุณหนูใหญ่มาก่อน คุณหนูใหญ่รูปร่างหน้าตาคล้ายฮูหยิน น่ารักน่าใคร่ยิ่งนัก ดวงตากลมโต ใบหน้าเล็กๆ ผิวพรรณขาวสะอาด นิสัยหรือก็ไม่ต่างอันใดกับฮูหยิน ไม่ชอบพูดคุย อีกทั้งยังเป็นคนคิดมาก”
ดวงตาของนางหรี่ลงเล็กน้อย คล้ายยามนี้ดรุณีงดงามอายุสิบกว่าปีผู้นั้นกำลังยืนอยู่ตรงหน้า
เฉินอิ๋งยังคงนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ทำเพียงช่วยเปลี่ยนชาร้อนให้กับอีกฝ่าย
ฮั่วมามาเห็นเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นเนื้อตัวสั่น “บ่าวมิกล้า คุณชายสามหาควรทำเช่นนี้ไม่”
เฉินอิ๋งวางถ้วยชาลงบนอุ้งมือนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “มามาอย่าได้ทุกข์ใจ ดื่มชาเถอะ”
ฮั่วมามาตะลึงมองดูนาง จู่ๆ ขอบตาก็แดงก่ำ นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นกดซับหางตาพลางฝืนยิ้มกล่าว “บ่าวเฒ่าชราหูตาฝ้าฟาง เมื่อครู่ถึงได้เผลอนึกถึงเรื่องราวในอดีตขึ้นมา ตอนคุณหนูใหญ่อยู่ในจวน นางก็ชอบรินชาให้บ่าวอยู่เสมอ”
คำพูดนี้ชวนโศกสลดยิ่งนัก เฉินอิ๋งเพราะไม่รู้ว่าควรปลอบใจอีกฝ่ายเช่นไร จึงได้แต่นั่งนิ่งอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนนาง คอยฟังนางระบายความทุกข์โศกเท่านั้น
หลังจิบชาร้อนไปสองคำ ฮั่วมามาก็คล้ายกลับมาได้สติ นางนั่งลงอีกครั้งก่อนจะเอ่ยปากเล่าต่อ “เพียงชั่วพริบตาคุณหนูใหญ่ก็พำนักอยู่นอกเมืองครบสองปี อายุสิบแปดปีบริบูรณ์ กลายเป็นสตรีทึนทึกนางหนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าเดิมก็แค่เอ่ยปากออกมาด้วยเพราะความโมโหเท่านั้น ช่วงนั้นนางไหว้วานคนไปทั่วให้ช่วยหาคู่ครองที่เหมาะสมให้กับคุณหนูใหญ่ แต่โชคไม่ดีที่หาคนที่เหมาะสมไม่พบ ถ้าไม่ใช่ชาติตระกูลต่ำต้อยก็นิสัยไม่เอาไหน หรือไม่ก็บ้านเรือนสกปรก ฮูหยินผู้เฒ่าด้วยเพราะกลัวคุณหนูใหญ่จะลำบาก เรื่องนี้จึงลากยาวต่อไปอีกปี จนคุณหนูใหญ่อายุสิบเก้า”
เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ สีหน้าจู่ๆ ก็เปลี่ยนไป นัยน์ตาแฝงไว้ซึ่งความเคียดแค้นชิงชัง ถูถ้วยชาในมือไม่หยุด กระดูกข้อต่อกลายเป็นซีดขาว น้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกแค้นเคือง “ฤดูหนาวปีนั้น หิมะตกหนักไม่ต่างอะไรกับวันนี้ มีบุรุษต่างถิ่นผู้หนึ่งมานอนหนาวหมดสติอยู่หน้าเรือนคุณหนูใหญ่ ด้วยเพราะคุณหนูใหญ่มีเมตตาจึงสั่งให้คนช่วยเขาไว้ เชิญให้เขาพำนักรักษาตัว อีกทั้งยังสั่งให้คนมอบเงินค่าเดินทางจำนวนหนึ่งให้เขา ก่อนจะส่งเขาจากไป หลังจากเรื่องนี้ผ่านพ้น คุณหนูใหญ่ก็มิได้เก็บมันมาใส่ใจอีก คิดเพียงทำบุญทำกุศลเท่านั้น”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 26 ก.พ. 66 เวลา 12.00 น.