บทที่ 230 ใจคนต่ำทราม
พอพูดถึงตรงนี้ฮั่วมามาจู่ๆ ก็เปลี่ยนไปพูดถึงอีกฝ่าย นางกัดฟันกล่าว “แต่ใครจะไปนึก คนผู้นี้หลังพ้นจากเรือนคุณหนูไปเขาก็เที่ยวป่าวประกาศไปทั่วว่าคุณหนูใหญ่พยายามล่อลวงเขา แรกๆ ก็ไม่มีผู้ใดเชื่อ แต่เขากลับสบถสาบานกล่าววาจาเหลวไหล อีกทั้งยังเอ่ยปากบอกถึงตำหนิบนร่างของคุณหนูใหญ่ เพียงไม่นานเรื่องราวก็แพร่สะพัดอยู่ท่ามกลางพวกคนชั้นต่ำ ช่าง…”
ริมฝีปากของนางสั่นระริก ใบหน้าเขียวคล้ำ พูดอันใดต่อไม่ออก น้ำตาหลั่งริน
เฉินอิ๋งตะลึงฟัง ในใจหนาวสะท้านยิ่ง
วาจาเล่าอ้างบาดหูเช่นนี้บีบบังคับทำร้ายสตรีในสมัยโบราณเช่นไร นางไม่ต้องคิดก็รู้ได้ทันที
“หากมามาไม่ปรารถนาจะเล่าต่อก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวอีก ข้าเข้าใจแล้ว” นางอดเอ่ยกับอีกฝ่ายไม่ได้
เรื่องราวในอดีตเหล่านี้หาควรย้อนนึกถึงอีกไม่ อารมณ์ของหญิงชราได้รับความกระทบกระเทือนเช่นนี้ ดีไม่ดีอาจส่งผลต่อสุขภาพ
นึกไม่ถึงว่ายังไม่ทันที่เฉินอิ๋งจะพูดจบ ฮั่วมามาก็ส่ายศีรษะ รอยยิ้มเจ็บปวดปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่น “ถึงคุณชายสามจะเข้าใจ แต่เรื่องราวภายหลังเกรงว่าท่านอาจทายไม่ถูก”
น้ำเสียงของนางแหบพร่าเล็กน้อยคล้ายมีดกรีดแก้วหู ทำเอาทุกคำที่นางพูดออกมาล้วนแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกเฉื่อยชายากเกินบรรยาย
“บ่าวรู้ คุณชายสามเป็นคนฉลาด คงทายเรื่องราวได้คร่าวๆ แล้ว” เส้นผมสีดอกเลาของฮั่วมามาส่ายไหวไปตามเสียงพูด คล้ายหิมะที่โปรยละอองอยู่ทั่วแผ่นฟ้าตกอยู่บนตัวนาง “ต่อมา…ต่อมา…คุณหนูใหญ่ก็กลืนทองพยายามปลิดชีวิตตนเอง ฮูหยินผู้เฒ่าส่งคนจำนวนมากไปเฝ้าคุณหนูใหญ่ไว้ด้วยเพราะกลัวนางจะฆ่าตัวตายอีก ทว่าคุณหนูใหญ่ยังซ่อนทองไว้อีกก้อน พอลับตาคนนางก็แอบกลืนมันลงท้องอีก วันที่สองกว่าจะมีคนไปพบ ร่างของคุณหนูใหญ่…ก็เย็นเยียบสิ้นแล้ว”
นางเพียรใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา ทว่าน้ำตากลับยังคงหลั่งริน ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็ไม่ยอมหยุดไหล เพียงไม่นานผ้าเช็ดหน้านั่นก็ชุ่มโชกไปด้วยน้ำตา
เฉินอิ๋งหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นส่งให้กับอีกฝ่าย
ฮั่วมามารับไว้พลางใช้มันซับน้ำตา กว่าจะกลั้นน้ำตาได้สำเร็จก็หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ นางเช็ดหางตาเอ่ยปากสะอึกสะอื้น “บ่าวเสียมารยาท ทำตัวให้คุณชายสามขบขันแล้ว”
เฉินอิ๋งส่ายหน้าไม่พูดอันใด นางนั่งนิ่งอยู่ข้างอีกฝ่าย
ไม่รู้ด้วยเหตุใดการเคลื่อนไหวสงัดเงียบไร้สรรพเสียงนี้กลับทำฮั่วมามารู้สึกเหมือนได้รับการปลอบโยน
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ อารมณ์ของฮั่วมามาก็กลับมาสงบนิ่ง นางเริ่มเอ่ยปากพูดอีกครั้ง
“ท่านโหวยามนั้นถึงจะเพิ่งอายุสิบสาม แต่กลับรู้อะไรดีอะไรไม่ดี เขาปิดประตูเฝ้าศพของคุณหนูใหญ่ตลอดทั้งคืน เช้าวันที่สองก็พาคนออกจากประตู ต่อมาบ่าวถึงได้รู้ว่าท่านโหวตามหาชายหนุ่มสร้างเรื่องผู้นั้นจนพบ บีบบังคับให้เขาบอกถึงต้นสายปลายเหตุ” น้ำเสียงของนางไม่รันทดโศกเศร้าอีกต่อไป หากแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกเคียดแค้นชิงชัง
นางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าว “เจ้าคนถ่อยนั่นเป็นบัณฑิตยากจน คิดอยากมั่งมีศรีสุขจนเสียสติ เห็นจวนของพวกเรามีแต่เด็กกับคนชรา ชื่อเสียงของคุณหนูใหญ่เองก็ไม่สู้ดี จึงคิดวางแผนตัดสินใจทำลายชื่อเสียงของคุณหนูใหญ่ให้สิ้นซาก คิดว่าหากฮูหยินผู้เฒ่าร้อนรน ไม่แน่ว่าอาจยอมยกคุณหนูใหญ่ให้กับเขา ถึงตอนนั้นคนยากไร้เช่นเขาย่อมสามารถเกี่ยวดองกับจวนโหวได้ ช่างเป็นตัวบัดซบโง่งมตัวหนึ่งโดยแท้ ถุดๆ!”
ฮั่วมามาถ่มถุยน้ำลายลงพื้นติดๆ กันหลายครั้งหลายครา สองแก้มแดงระเรื่อด้วยความโกรธแค้น พูดจบนางก็ไอออกมาอีกครา
เฉินอิ๋งรีบขยับขึ้นหน้ายกถ้วยน้ำชาขึ้นให้อีกฝ่าย ฮั่วมามารับถ้วยน้ำชาไปดื่มสองสามคำ ครั้นหายไอนางก็หอบหายใจกล่าว “ลำบากคุณชายสามแล้ว บ่าวใกล้เล่าจบแล้ว”
เฉินอิ๋งกังวลกลัวนางจะเป็นอะไรไป แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเก็บกดเรื่องนี้อยู่นานมากแล้ว ยามนี้หากไม่ยอมปล่อยให้นางได้พูดจบ เกรงว่าจะยิ่งส่งผลเสียต่อร่างกายของหญิงชรามากขึ้นไปอีก ด้วยเหตุนี้เฉินอิ๋งจึงได้แต่นั่งกลับลงบนเก้าอี้และตั้งใจฟังนางพูดต่อ
“ต่อมาท่านโหวได้บอกกับบ่าวว่าสาเหตุที่เจ้าคนถ่อยนั่นเล็งเป้าไปที่คุณหนูใหญ่ก็ด้วยเพราะคุณหนูใหญ่ได้ชื่อว่ามีดวง ‘ข่มญาติพี่น้อง’ คนผู้นี้หมายเกี่ยวดองกับจวนโหวจนเสียสติ ถึงขนาดยอมทุ่มเททรัพย์สมบัติที่มีทั้งหมดซื้อตัวแม่เฒ่าข้างกายคุณหนูใหญ่ แม่เฒ่านางนั้นเดิมมีหน้าที่ติดไฟต้มน้ำ เพราะเรือนนั่นไม่มีองครักษ์เฝ้ารักษาความปลอดภัยแน่นหนา ทำให้นางฉวยโอกาสตอนคุณหนูใหญ่อาบน้ำแอบสังเกตดูตำหนิบนตัวคุณหนูใหญ่ ก่อนจะเอาไปบอกกับเจ้าคนชั่วนั่น ช่าง…แค่กๆๆ…”
ฮั่วมามาไอหนักหน่วงรุนแรงจนไม่อาจเล่าต่อ สองแก้มแดงชัดยิ่งกว่าเก่า มือสั่นระริกยื่นไปที่ถ้วยชา