“ท่านแม่กับท่านป้าสะใภ้อนุญาตแล้ว ที่ร้านของนายหญิงสี่เองก็มีของที่พวกท่านแม่ต้องการพอดี ถือเสียว่าแวะไปเอามันกลับมาให้พวกนาง” เฉินอิ๋งพูดขึ้นอีกคราวถือเป็นการอธิบาย
ไม่รู้ว่าเพราะได้รับอิทธิพลจากกระแสค่านิยมในท้องถิ่นหรือไม่ นับแต่มาถึงจี่หนาน กัวหว่านก็ไม่เคยแวะมาเยี่ยมเยือนนางเลยแม้แต่ครั้งเดียว ที่ไปมาหาสู่ถึงจวนสกุลหานทุกครั้งล้วนแต่เป็นพวกมามาทั้งสิ้น โชคดีที่หลี่ซื่อกับหนีซื่อไม่รู้เรื่องอะไรพวกนี้มากนัก ดังนั้นคราวนี้เฉินอิ๋งจึงสามารถขอออกไปข้างนอกตามลำพังได้
เพราะสกุลหานวางจำหน่ายน้ำมันหอมระเหยชนิดใหม่มาอีกสองสามชนิด แล้วกัวหว่านตกลงรับปากพวกหนีซื่อว่าจะส่งมาให้ เฉินอิ๋งจึงใช้โอกาสนี้ขันอาสาไปจัดการให้เอง ส่วนหลี่ซื่อเองก็มิได้เอ่ยปากขัดขวาง คาดว่าคงไว้วางใจกัวหว่านยิ่ง
กว่าจะแต่งเนื้อแต่งตัวเป็นที่เรียบร้อยเวลาก็ไม่เช้าแล้ว ขณะกำลังจะออกไป นึกไม่ถึงว่าเฉินเซียงกลับแวะมาเยี่ยมเยียนนางกะทันหัน
เฉินอิ๋งรู้สึกประหลาดใจ หลังจากเชิญอีกฝ่ายเข้าไปในห้องนางก็ยิ้มถาม “วันนี้พี่รองไม่มีเรียนกระนั้นหรือ”
ตารางเรียนของสำนักศึกษาสตรีทุกวันล้วนแต่แน่นขนัด อีกทั้งวันนี้หรือก็มิใช่วันหยุด หาไม่แล้วเฉินอิ๋งไหนเลยจะมีโอกาสออกไปตามลำพังได้ ถึงตอนนั้นเชื่อว่าต้องมีหางเล็กๆ อย่างหลี่ซีตามมาด้วยเป็นแน่
พอได้ยินเฉินอิ๋งถามเช่นนั้น เฉินเซียงก็หน้าแดงขึ้นมาทันที นางอึกๆ อักๆ บอก “เอ่อ…ข้า…ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย…เลยขอท่านอาจารย์หยุดพักครึ่งวัน” นางพูดพลางกวาดตามองไปรอบๆ ความหมายของนางเห็นได้ชัดยิ่งกว่าชัด
หลังสั่งให้พวกหลัวมามาออกไปเป็นที่เรียบร้อย เฉินอิ๋งก็เอ่ยปากถามขึ้นอีกครา “พี่รองเหมือนมีธุระจะคุยกับข้า ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องอันใด”
เฉินเซียงหน้าแดงมากขึ้นไปอีก นางก้มหน้าขยับชายอาภรณ์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดคลุมเครือออกมา “เอ่อ…ไม่รู้ว่าท่านป้ารอง…เขียนจดหมายถึงท่านย่าแล้วหรือไม่”
ที่แท้ก็เรื่องนี้
เฉินอิ๋งไม่รู้ว่าเฉินเซียงมาเองหรือว่าเฉินหานคะยั้นคะยอให้นางมากันแน่ จึงพูดออกมาตามตรงว่า “ท่านแม่ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับข้า พี่รองต้องการให้ข้าช่วยถามดูให้หรือไม่”
“ก็ดี…เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณน้องสามยิ่งแล้ว” เฉินเซียงก้มหน้าพูดประโยคดังกล่าวออกมา คล้ายถอนหายใจโล่งอก
ยามนี้เฉินอิ๋งจึงมั่นใจแล้วว่าเรื่องนี้เฉินหานต้องเป็นคนให้นางมาถามตนเองแน่
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เฉินเซียงก็รวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้น นางพูดจาตะกุกตะกัก “เอ่อ…เรื่องของข้ากับน้องสี่ เชื่อว่าน้องสามคงได้ยินมาบ้างแล้วกระมัง”
เฉินอิ๋งตะลึงงัน คำพูดไม่มีหัวไม่มีหางเช่นนี้หมายความเช่นไร
โชคดีที่เฉินเซียงคล้ายไม่ต้องการคำตอบจากเฉินอิ๋ง นางกล่าวต่อว่า “อันที่จริงน้องสี่ก็แค่ยั้งปากไม่อยู่เป็นบางครั้งบางคราว พูดจาไม่ระมัดระวังก็เท่านั้น นางก็แค่ด่าน้องหกออกมาตรงๆ มิได้ลอบเล่นงานผู้อื่นแต่อย่างใด”
คำพูดนี้ทำคนสับสนงุนงงยิ่งกว่าเดิม หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเฉินอิ๋งก็เข้าใจ
ที่แท้ที่เฉินเซียงพูดถึงอยู่ในเวลานี้ก็คือสาเหตุที่ทำให้เฉินหานถูกฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ส่งตัวมาที่จี่หนาน
เฉินอิ๋งส่งเสียง “อืม” เบาๆ ออกมาคราหนึ่ง แต่ก็มิได้พูดอันใดต่อ
เรื่องนี้เป็นภัยที่เฉินหานก่อ เฉินเซียงก็แค่ปลาที่ติดร่างแหมาด้วยเท่านั้น
จะว่าไปเรื่องนี้เฉินอิ๋งไม่เคยนึกอยากรู้เลยแม้แต่น้อย หลัวมามาเองก็ปิดปากสนิทไม่พูดอันใด เชื่อว่ารายละเอียดของเรื่องนี้คงมิได้ง่ายดายเหมือนอย่างที่เฉินเซียงพูดอยู่ในเวลานี้เป็นแน่ น่าจะยังมีสาเหตุอื่นด้วย
เพียงแต่ในเมื่อเฉินเซียงไม่ยอมเล่ารายละเอียด เฉินอิ๋งย่อมไม่สะดวกใจไถ่ถาม
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เรื่องเฉินหานไม่พอใจคุณหนูหกเฉินหยวนนั้นอันที่จริงก็มีเค้าลางอยู่นานแล้ว เฉินหยวนแม้จะยังเล็ก แต่ก็เกิดมาหน้าตาสะสวยงดงามราวกับสตรีล่มเมือง เฉินหานนึกอิจฉาอีกฝ่ายอยู่ลึกๆ มาแต่ไหนแต่ไร
“ก็แค่ปากกับลิ้นทะเลาะกันเท่านั้น น้องสี่เพราะอารมณ์ฉุนเฉียวเกินไปหน่อย ท่านย่าถึงได้คิดดัดนิสัยนาง” เฉินเซียงพูดต่อ พยายามปกป้องผู้เป็นน้องร่วมอุทรอย่างสุดความสามารถ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ข้าไม่เคยรู้มาก่อน” น้ำเสียงของเฉินอิ๋งไม่มีอันใดผิดแผกไปจากยามปกติ และยิ่งไม่มีความรู้สึกยินดีปรีดาต่อโชคร้ายของผู้อื่น นางพูดออกมาตรงๆ “แต่ไหนแต่ไรท่านย่าก็แยกแยะลงโทษกับตกรางวัลอย่างชัดเจน คิดว่าเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันระหว่างน้องสี่กับน้องหกนี้คงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หาไม่ท่านย่าก็คงไม่โกรธขึ้งเยี่ยงนี้”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 ก.พ. 66 เวลา 12.00 น.