ทันใดนั้นรถม้าก็เลี้ยวไปอยู่บนถนนชีเสียน เสียงเกือกม้ากระทบอยู่กับผิวถนนดังชัด
รอยเกือกเท้าม้าจางๆ ถูกหิมะกลบหายไปอย่างรวดเร็ว
มือของกัวหว่านวางอยู่บนมือของลวี่อี ยามนี้นางกำลังยืนอยู่ที่ข้างรถหันหน้ามองกลับไป
“นายหญิงดูอะไรอยู่กระนั้นหรือเจ้าคะ” ลวี่อีถามพลางมองตามสายตาของอีกฝ่ายไป
ถนนว่างเปล่าเงียบเหงา ร้างไร้ผู้คน มีเพียงหิมะโหมกระหน่ำ
“ข้าเหมือนจะเห็นรถม้าของคุณหนูสามสกุลเฉิน” กัวหว่านพูดเบาๆ ก่อนจะไอออกมาคราหนึ่ง
ลวี่อีรีบขยับเสื้อคลุมขนจิ้งจอกขาวบนร่างของผู้เป็นนายพลางเหลือบมองกลับไป
กึกๆ
เสียงเคาะแผ่วเบาสองคราดังขึ้นจากบนรถม้าอีกคัน
พอเสียงดังกล่าวดัง สารถีก็รีบยกแส้ รถม้าห้อตะบึงผ่านพวกกัวหว่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานก็แล่นผ่านประตูร้านเซียงอวิ๋นไปไกล
กัวหว่านยกมือประคองหมวกกันลมบนศีรษะ นิ้วเรียวราวกับต้นหอมขับดุนอยู่กับขนสุนัขจิ้งจอกขาวบนคอ ยากจะแยกออกว่าอันใดขาวเนียนกว่ากัน
ลวี่อีตะลึงมองอยู่ข้างๆ นางแอบนึกทอดถอนใจ โลกนี้คิดจะหาสตรีงดงามเยี่ยงนายหญิงของข้าใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ เพียงแต่สตรีสูงศักดิ์ผู้นั้นที่มาที่ไปไม่ธรรมดา…การนี้ไม่รู้ว่าดีร้ายเช่นไร
ลวี่อีเหมือนมีลางสังหรณ์ไม่สู้ดีนัก นางรีบโยนอารมณ์ความรู้สึกไร้ประโยชน์พวกนั้นทิ้ง และประคองกัวหว่านก้าวเท้าขึ้นบนบันไดหิน
เพียงไม่นานร่องรอยรถม้าผู้คนที่หน้าประตูร้านเซียงอวิ๋นก็จางหายไปจนสิ้น หิมะโปรยปรายลงมาไม่หยุดเสมือนไร้ซึ่งขอบเขต ไร้ซึ่งเวลาสิ้นสุด…
รัชศกหยวนจยาปีที่สิบหกฤดูใบไม้ผลิของจี่หนานมาค่อนข้างไว ยังไม่เข้าเดือนสองต้นสาลี่ในเรือนก็เริ่มแตกใบใหม่ให้เห็น
เฉินอิ๋งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ เงยหน้ามองดูใบอ่อนสีเขียวขับดุนอยู่กับท้องฟ้าสะอาดสะอ้านเหนือศีรษะ สองตาหรี่ลงเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“คุณหนู แม่ทัพหลางมาแล้ว” หลัวมามาเดินเข้ามาเงียบๆ ก่อนจะกล่าวรายงานด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
เฉินอิ๋งหันหน้ามองไป พบว่าที่ข้างประตูวงเดือนที่เพิ่งทาสีขาวได้ครึ่งหนึ่งนั้นมีชุดหมั่งเผาสีแดงสดปรากฏให้เห็นอยู่มุมหนึ่ง
“เชิญเขาเข้ามาเถอะ” นางยิ้มให้กับหลัวมามาพลางใช้มือปัดไปบนไหล่ของอีกฝ่าย “มามาเดินผ่านระเบียงทางเดินด้านนอกเข้ามาใช่หรือไม่ ถึงได้มีฝุ่นติดตัวเช่นนี้”
หลัวมามารีบก้มหน้ามอง ก่อนจะพบว่าบนไหล่ของนางรวมถึงชายกระโปรงล้วนมีแต่ฝุ่นขาว นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาปัดพลางกล่าววาจาอย่างอับจน “ผู้น้อยบอกแล้วว่าก่อนสร้างเสร็จที่นี่ต้องยุ่งเหยิงเต็มไปด้วยฝุ่นแน่ แต่คุณหนูก็ไม่ฟัง โชคดีที่คุณหนูไม่ได้ตามผู้น้อยออกไปข้างนอกด้วย ไม่อย่างนั้นอาภรณ์ตัดใหม่นี้คงได้เลอะเทอะเปรอะเปื้อนหมดสิ้น”
เฉินอิ๋งยิ้มฟังนางโอดครวญ หลังหลัวมามาพูดจบนางก็ถามขึ้น “ท่านแม่เล่า ยังวุ่นวายอยู่ที่ด้านหลังใช่หรือไม่”
สีหน้าอับจนของหลัวมามาเพิ่มมากขึ้นอีกระดับ นางพยักหน้ากล่าว “คุณหนูกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ก่อนหน้านี้ฮูหยินบอกว่าจะไม่มา ยามนี้กลับตามคุณหนูมาประจำ ตอนนี้กำลังเรียกให้พวกเด็กๆ จัดการเก็บข้าวเก็บของอยู่”
ได้ยินเช่นนั้นเฉินอิ๋งก็นึกเบิกบานใจ นางยิ้มกล่าว “ข้านี่มีญาณวิเศษจริงๆ รู้จักเก็บที่แห่งนี้ไว้ให้ตนเองไว้ใช้พักอาศัย ที่นี่ภูเขาสวยน้ำใส ใกล้ๆ ล้วนแต่ครอบครัวชาวนาซื่อๆ วันหน้าหากท่านแม่รู้สึกเบื่อที่จะอยู่ในเมือง ย่อมสามารถมาพักผ่อนอยู่ที่นี่ได้สักหลายๆ วัน ถือเสียว่าเป็นบ้านพักตากอากาศที่บุตรีผู้นี้สร้างไว้ให้มารดา”
หลัวมามายิ้มไปกับคำพูดของเฉินอิ๋ง ก่อนจะเอ่ยปากทอดถอนใจ “คุณหนูครุ่นคิดรอบคอบดีแท้ ฮูหยินเอ่ยปากอยู่ตลอดเวลาว่านางชื่นชอบที่นี่ยิ่งนัก”
หลี่ซื่อยามนี้พักอยู่จวนข้าหลวง ที่นั่นไม่ว่าเช่นไรก็ไม่ใช่บ้านของผู้เป็นมารดาอย่างแท้จริง ยามนี้เฉินอิ๋งได้แบ่งเรือนหลังหนึ่งในสำนักศึกษาสตรีเฉวียนเฉิงนี้ออกมาใช้พำนักอาศัยเอง เท่ากับเป็นการสร้างที่พักให้กับหลี่ซื่อ หากวันใดพวกนางสามคนแม่ลูกไม่สะดวกจะพำนักที่จวนข้าหลวงต่อ ภายในเมืองจี่หนานกว้างใหญ่พวกนางย่อมมิร้างที่ไป