ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 4-6
บทที่ 4 เถาซู เกล็ดหิมะ
เฉินอิ๋งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง เก็บงำความรู้สึกสะอิดสะเอียนที่เอ่อท้นขึ้นมาอย่างกะทันหันกลับลงท้อง
เจตนาชั่วร้ายมักห่อคลุมร่างของมันไว้ด้วยอาภรณ์ที่เรียกว่า ‘จิตใจงดงาม’ ความโหดเหี้ยมอำมหิตก็มักอาศัยความไร้เดียงสาเป็นเครื่องมือ ส่วนทำร้ายกับลบหลู่ก็ยิ่งแปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นไม่สนใจไยดีภายใต้คำพูดอย่าง ‘พวกนางยังเด็กไม่รู้ประสีประสา’
นี่คือยุคสมัยที่นางอยู่ในเพลานี้
“หรือว่าคุณหนูสามคิดจะประจบประแจงฮูหยินบ้านใหญ่ของพวกเจ้า?” วาจาถากถางของกัวย่วนดังขึ้นอีกครั้ง ทว่าแค่คำพูดประโยคเดียวนี้ก็เปิดโปงความสัมพันธ์ระหว่างเรือนต่างๆ ในจวนเฉิงกั๋วกงได้หมดสิ้น “ปกติแค่จะพูดให้ครบคำอันใดก็ยังทำไม่ได้ แต่ยามนี้กลับคิดเสนอหน้า”
คำพูดนี้เรียกเสียงหัวเราะจากบรรดาอิสตรีที่อยู่รายรอบได้มากขึ้นกว่าเดิม
เฉินอิ๋งเป็นสตรีจากบ้านรองของจวนเฉิงกั๋วกง มีฐานะเป็นบุตรีลำดับสามของตระกูล ฐานะในจวนกั๋วกงเรียกได้ว่า ‘ค่อนข้างกระอักกระอ่วน’ เฉินเซ่าบิดาของเฉินอิ๋งหายสาบสูญไปนานปี เป็นตายไม่รู้แจ้ง เรือนที่ไร้บุรุษปกป้องคุ้มครองไหนเลยจะมีฐานะอันใดให้หยัดยืนได้ นอกจากนี้ตัวเฉินอิ๋งเองก็พูดจาไม่เก่ง ยามอยู่ท่ามกลางสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายนางมักเก็บตัวเงียบไม่สุงสิงกับผู้ใด ยามนี้จู่ๆ นางกลับออกหน้าแทนเฉินจิ่น หากไม่ใช่คิดประจบบ้านใหญ่แล้วยังจะเพราะอันใดได้
แทบทุกคนล้วนคิดเช่นนั้น
“ข้าก็แค่มาเล่าความจริงเท่านั้น” เฉินอิ๋งคล้ายฟังไม่เข้าใจคำพูดของกัวย่วน นางตอบกลับด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งก่อนจะขยับขึ้นหน้าสองสามก้าว ชี้ไปยังเถาจือที่คุกเข่าอยู่กับพื้น “แขนเสื้อเจ้าเปื้อนสิ่งใด”
เหมือนตอนนางปรากฏตัว คำถามนี้ไม่เพียงถามออกมาปุบปับแต่ยังแปลกประหลาดยิ่ง เสียงหัวเราะรายรอบพลันจางลงอย่างรวดเร็ว
เถาจือตะลึง รีบก้มหน้าสำรวจแขนเสื้อตนเอง ก่อนจะตอบกลับอย่างนอบน้อม “เรียนคุณหนูสาม แขนเสื้อผู้น้อยเปื้อนเกล็ดน้ำตาลเจ้าค่ะ”
เฉินอิ๋งชูมือซ้ายขึ้น
ทุกคนยามนี้เพิ่งสังเกตเห็น มือซ้ายของนางถือจานใส่ของว่างไว้ เฉินอิ๋งพยายามชูมือสูงเพื่อให้ทุกคนมองเห็นได้โดยสะดวก
“ถ้าข้าจำไม่ผิด วันนี้หลังอาหารมีของว่างกินคู่กับน้ำชาสามอย่าง แต่กลับมีเพียง ‘ขนมเถาซูเกล็ดหิมะ’ เท่านั้นที่มีเกล็ดน้ำตาลโรยไว้ คุณหนูรอง ท่านว่าใช่หรือไม่” นางหันไปทางกู้หนานที่ยืนอยู่อีกด้าน
กู้หนานพยักหน้าอย่างงุนงง “ใช่แล้ว นี่เป็นของว่างที่จวนของพวกเราเพิ่งทำออกมาไม่นาน”
เฉินอิ๋งส่งเสียง “อา” ออกมาคำหนึ่ง มุมปากยกอยู่ในองศาแปลกประหลาด
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งกู้หนานถึงได้เข้าใจ คุณหนูสามสกุลเฉินกำลัง…ยิ้ม?
นางเลิกคิ้ว รอยยิ้มนี้ไม่ธรรมดา…จริงๆ
เฉินอิ๋งไม่รู้ว่ารอยยิ้มของตนเองกำลังรบกวนใจกู้หนาน
นางเดินขึ้นหน้าสองก้าว วางจานขนมลงบนโต๊ะหน้ากัวย่วน ก่อนจะหันกลับไปเอ่ยปาก “ขนมเถาซูเกล็ดหิมะนี้เพิ่งนำขึ้นโต๊ะมาเมื่อหนึ่งเค่อก่อน คุณหนูรองน่าจะเป็นพยานยืนยันถึงเรื่องนี้ได้ ข้าพูดถูกหรือไม่”
กู้หนานตะลึงไปชั่วขณะ นางพยักหน้าอีกครั้ง “อืม…ใช่แล้ว เมื่อหนึ่งเค่อก่อนข้าเป็นคนสั่งเอง”
เพราะหยกชิ้นโปรดของเซียงซานเซี่ยนจู่แตก กู้หนานจงใจเรียกคนให้เอาขนมเถาซูเกล็ดหิมะมาสร้างบรรยากาศ แต่เถาจือจู่ๆ กลับเอาเรื่องเฉินจิ่นขึ้นมาฟ้อง ทำเอาทั้งสองฝ่ายหมางใจกัน
“นั่นก็หมายความว่า…แม่นางเถาจือ โอกาสที่เจ้าจะสัมผัสถูกขนมเถาซูเกล็ดหิมะย่อมมีเพียงชั่วเวลาหนึ่งเค่อตอนเอาของว่างมาวางไว้บนโต๊ะเท่านั้น เรื่องนี้ข้าคงพูดไม่ผิดกระมัง” เสียงของเฉินอิ๋งสงบนิ่งราวกับสายน้ำ แต่คนที่ได้ยินกลับรู้สึกเหมือนถูกกระแสน้ำสาดซัด
ไม่ว่าจะบ้านใดเรือนใดจัดงานเลี้ยง หลังอาหารของว่างถูกวางขึ้นโต๊ะ พวกบ่าวไพร่ในจวนย่อมต้องถอยจากไป งานรับใช้ใกล้ชิดอย่างรินน้ำเติมชาอะไรพวกนั้น บ่าวคนสนิทของแต่ละสกุลย่อมเข้ามารับหน้าที่ต่อ ไหนเลยจะยอมให้ผู้อื่นมาทำแทน นี่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ถึงจะไม่มีการเขียนไว้แต่ทุกคนก็ต่างรู้ดี
เถาจือขยับตัวกระวนกระวาย นางตอบเสียงแผ่วว่า “น่าจะ…ใช่…เจ้าค่ะ”
เฉินอิ๋งขยับมุมปาก นางยกมือแล้วดึงเอากระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ
สาวใช้สวมเสื้อสีครามนางหนึ่งไม่รู้โผล่ออกมาจากที่ใดรับกระดาษแผ่นนั้นไว้ด้วยสองมือ ก่อนจะชูสูงให้ทุกคนได้เห็น
“ขอให้ทุกคนดูแผนที่นี้” มือของเฉินอิ๋งไม่รู้มีกิ่งไม้เพิ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไร มันคล้ายเพิ่งหักออกมาจากที่ใดสักแห่ง บนกิ่งยังมีใบไม้ติดอยู่ใบหนึ่ง
นางชูกิ่งไม้ขึ้น ชี้ไปยังตำแหน่งต่างๆ มุมปากยกยิ้ม “แผนที่นี้ข้าวาดขึ้นหยาบๆ ขอทุกท่านอย่างได้ถือสา”
ทุกคนสายตาจับจ้องอยู่บนแผนที่ ภาพที่เฉินอิ๋งวาดเป็นเพียงภาพร่างหยาบๆ จริงอย่างที่นางพูด ภาพสี่เหลี่ยมจัตุรัสสองสามอันเป็นตัวแทนของห้องสุขา เรือนรับรอง ห้องครัว ระหว่างภาพสี่เหลี่ยมพวกนั้นถูกเชื่อมต่อด้วยเส้นตรงบ้างเส้นโค้งบ้าง น่าจะเป็นสัญลักษณ์แทนเส้นทาง
เฉินอิ๋งเริ่มต้นด้วยการชี้ไปที่ห้องสุขาพลางอธิบาย “ห้องสุขาตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเรือนรับรอง ระยะห่างเมื่อมองเป็นเส้นตรง…อืม…ถึงจะไม่ไกลจากเรือนรับรองนัก ทว่าเส้นทางกลับคดเคี้ยวเลี้ยวลด อย่างน้อยก็ต้องเลี้ยวถึงห้าเลี้ยว เมื่อครู่ข้าให้คนลองวิ่งไปมาให้เร็วที่สุดดู พบว่าจากเรือนรับรองถึงห้องสุขาไปกลับอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งเค่อโดยประมาณ เมื่อครู่แม่นางเถาจือบอกว่านางมั่นใจว่าเห็นพี่ใหญ่ของข้าไปห้องสุขากับตาเมื่อไม่ถึงสองเค่อก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่”
ไม่มีคนตอบคำถามของนาง ทุกคนต่างยอมรับคำอธิบายของนางอยู่เงียบๆ
ก่อนหน้านี้เถาจือไม่เพียงพูดยืนกรานหนักแน่น หากยังพูดซ้ำถึงสองรอบ ทุกคนในเรือนรับรองต่างเป็นพยานได้
เฉินอิ๋งชักกิ่งไม้กลับพร้อมหันมองไปทางเถาจือ “แม่นางเถาจือ เจ้าเห็นพี่สาวของข้าไปห้องสุขาเมื่อราวๆ สองเค่อก่อน อีกทั้งยังสะกดตามรอยนางไป เห็นนางเขวี้ยงหยกลงกับพื้นแตกเป็นสองท่อน หลังจากนั้นก็กลับมาที่เรือนรับรองนี่ ตกลงเจ้าทำเรื่องทั้งหมดนี้ใช้เวลาเท่าไรกันแน่”
เรือนรับรองเงียบสงัดยิ่งกว่าเก่า สายตาของทุกคนต่างจับจ้องอยู่บนตัวเฉินอิ๋ง สายตาหลายคู่ส่องประกายวับวาวเป็นพิเศษ
หนึ่งในนั้นคือเฉินจิ่น
นางมองดูเฉินอิ๋งด้วยสายตาโชติช่วงเป็นประกาย นี่นับเป็นครั้งแรกที่นางพบว่าน้องสามที่ไม่ชอบพูดจาผู้นี้หาได้ซื่อๆ เซ่อๆ เหมือนท่าทางภายนอกไม่
“เอ่อ…ผู้น้อย…ผู้น้อยจำได้ไม่แน่ชัด” เถาจือเอ่ยปากอ้ำๆ อึ้งๆ คำตอบที่ให้มาคลุมเครือสิ้น
“จำได้ไม่แน่ชัด?” เฉินอิ๋งไม่ได้ซักไซ้ ไม่ได้แสดงอาการโกรธขึ้ง เพียงพูดตามอีกฝ่ายซ้ำด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาฉับพลันทันที “ทว่าเกล็ดน้ำตาลบนแขนเสื้อของเจ้ากลับบอกชัดแจ้งว่าอย่างน้อยก็ตอนนำขนมเถาซูเกล็ดหิมะมาวางขึ้นโต๊ะ ซึ่งก็หมายความว่าเจ้ากลับมาถึงเรือนรับรองตั้งแต่เมื่อหนึ่งเค่อก่อน หาไม่แล้วเจ้าไหนเลยจะอธิบายได้ว่าเกล็ดน้ำตาลนั้นเปื้อนอยู่บนแขนเสื้อเจ้าได้เช่นไร ข้าพูดเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่”
เถาจือหลุบตาหลบ สองตากะพริบปริบๆ รวดเร็วสองสามที ไม่ได้ตอบคำถามของเฉินอิ๋ง
เฉินอิ๋งไม่ได้ซักไซ้เอาความ แต่กลับยกกิ่งไม้เคลื่อนกลับไปกลับมาอยู่บนแผนที่ระหว่างเรือนรับรองกับห้องสุขา “แม่นางเถาจือ หากเจ้าสามารถใช้เวลาไม่ถึงสองเค่อสะกดรอยตามพี่ใหญ่ข้าไปห้องสุขา มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดกับตา หนำซ้ำยังกลับมายังเรือนรับรองได้เมื่อหนึ่งเค่อก่อนทันเวลาส่งของว่างขึ้นโต๊ะพอดิบพอดี เช่นนั้นช่วงเวลาที่เจ้าสะกดรอยตามพี่ใหญ่ข้าจนกระทั่งกลับมาถึงเรือนรับรองย่อมต้องไม่ถึงหนึ่งเค่อ อย่างมากก็คงแค่ครึ่งเค่อเท่านั้น การคาดเดาของข้าเช่นนี้คงไม่ผิดกระมัง”
ยามนี้เฉินจิ่นถึงได้เริ่มเข้าใจความหมายของน้องสาม นางหันมองไปทางเถาจือพลางเปล่งวาจาออกมาสองคำ “พูดสิ!”
เสียงแม้จะไม่ดังมากนัก แต่น้ำเสียงกลับหนักแน่นยิ่ง
เถาจือเนื้อตัวสั่นสะท้านคล้ายหวาดกลัวเป็นที่สุด หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบจะกลายเป็นเสียงกระซิบว่า “เรียน…เรียนคุณหนูสาม ผู้น้อยคิดว่า…น่าจะเป็นเช่นนั้น”
“อืม เจ้าคิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น” เฉินอิ๋งจ้องมองดูเถาจืออย่างไม่วางตา น้ำเสียงสงบนิ่งเอ่ยต่อ “ทว่าข้ากลับคิดว่าเรื่องนี้มีอะไรบางอย่างไม่ถูกไม่ควร”
นางมีดวงตาลึกล้ำราวน้ำหมึกคู่หนึ่ง ตาขาวแลดูอมฟ้าจางๆ ยามมองดูคนแววตาใสกระจ่างเยี่ยงระลอกน้ำ
ทั้งที่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มองนางด้วยสายตาร้ายกาจอะไร ทว่าเถาจือกลับรู้สึกคล้ายถูกคนมองทะลุถึงก้นบึ้งในจิตใจ นางอดขดตัวหนาวสะท้านไม่ได้จริงๆ