ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 663-665
บทที่ 664 บุรุษหนุ่มเกี้ยวทอง
เฉินอิ๋งส่งเสียง “อืม” ออกมาคราหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามว่า “หลังจากนั้นเล่า คุณหนูรองสกุลเซี่ยก็กลับโถงใหญ่ไป?”
สวินเจินพยักหน้า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ คุณหนูรองสกุลเซี่ยย้อนกลับไปทางเดิม มุ่งหน้าไปที่โถงใหญ่โดยใช้ทางแยกนอกสวนอิ๋นซิ่ง ผู้น้อยสะกดรอยตามไป ไม่เห็นนางพบเจอกับผู้ใดอีก หลังกลับไปถึงโถงใหญ่ นางก็นั่งดูการแสดงอยู่ข้างเซี่ยฮูหยิน ผู้น้อยจับตาดูอยู่เป็นนาน ครั้นเห็นว่านางไม่มีทีท่าว่าจะออกมาอีก อีกทั้งกลัวคุณหนูจะรอจนร้อนใจ จึงให้หญิงรับใช้สูงวัยพรมน้ำกวาดพื้นไปตามต้าจ้วนที่เรือนรับรอง ชี้คุณหนูรองสกุลเซี่ยให้นางดู บอกให้นางจับตาดูไว้ หลังจากนั้นผู้น้อยก็รีบมุ่งหน้าไปที่สวนเหมย”
“ฉลาดเฉลียวยิ่งนัก ต้าจ้วนผู้นี้เจ้าก็เลือกมาได้ไม่เลว” เฉินอิ๋งยิ้มเอ่ยปากชื่นชม
บางทีสวินเจินอาจไม่สุขุมฉลาดเฉลียวเท่าจือสือ แต่ปฏิภาณไหวพริบอย่างไรก็ยังคงมีอยู่ และยังมีประเด็นสำคัญอยู่อีกอย่างคือนางจดจำหนทางได้แม่น
ขอเพียงเป็นเส้นทางที่นางเคยเดินผ่าน นางย่อมไม่มีทางเดินผิด
แน่นอนว่าความสามารถทางด้านเส้นทางของเฉินอิ๋งเองก็ดียิ่งเช่นกัน แต่นั่นเป็นเพราะนางมักให้ความสำคัญกับการสังเกตรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ ไม่เหมือนกับสวินเจินที่เป็นพรสวรรค์
และก็ด้วยเพราะเหตุนี้ เฉินอิ๋งถึงสั่งให้สวินเจินไปจับตาดูอีกฝ่าย
พอได้รับคำชื่นชมเช่นนั้นสวินเจินก็รู้สึกได้ใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกขัดเขิน นางหัวเราะคิกคักกล่าว “ผู้น้อยจำได้ คุณหนูเคยบอกว่าไม่ว่าจะทำอันใดต้องมีแผนการ แผนของผู้น้อยนี้ไม่ได้ทำคุณหนูเสียการใหญ่ เท่านี้ก็นับว่าดียิ่งแล้วเจ้าค่ะ”
เฉินอิ๋งแย้มยิ้ม ก่อนที่ใบหน้าจะกลับกลายเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กๆ นางเอ่ยถาม “หลังจากนั้นเจ้าก็พบคุณหนูห้าเข้าระหว่างทางใช่หรือไม่”
“ถูกต้องเจ้าค่ะคุณหนู” พอเห็นเฉินอิ๋งสีหน้าจริงจังเช่นนั้นสวินเจินก็ไม่กล้าหัวเราะอีก นางกระซิบตอบต่อว่า “ตอนผู้น้อยเดินมาถึงครึ่งทางก็สังเกตเห็นคุณหนูห้าเฉินถูกสาวใช้นางหนึ่งลากจูง มุ่งหน้าไปที่ทางแยกนั่น เดิมผู้น้อยคิดจะไม่ใส่ใจ แต่หลังจากนั้นผู้น้อยก็จำได้ว่าสาวใช้ที่จูงคุณหนูห้าเฉินนางนั้นที่แท้ก็คือคนที่ไปแอบพบเจอกับคุณหนูรองเซี่ย ผู้น้อยจึงนึกเอะใจสงสัย”
“เจ้าจำรูปร่างหน้าตาของสาวใช้นางนั้นได้?” เฉินอิ๋งถามแทรก
สวินเจินส่ายหน้า สีหน้านึกละอายปรากฏอยู่บนใบหน้าสองสามส่วน “ขอคุณหนูได้โปรดให้อภัย ผู้น้อยหาได้มองเห็นใบหน้าของนางชัดแจ้งไม่ เพียงแต่ผู้น้อยจำกำไลบนข้อมือของนางได้ กำไลนั่นสะดุดตาคนยิ่งนัก”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เฉินอิ๋งพยักหน้าพลางอมยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร เอาล่ะ เจ้าว่าต่อเถิด”
สวินเจินเล่าต่อ “ตอนผู้น้อยเห็น พวกนางสองคนเดินออกจากประตูข้างที่เชื่อมต่อกับลานด้านนอกไปแล้ว ผู้น้อยคิดอยากตะโกน แต่เพราะอยู่ไกลเกินไป อีกทั้งไม่ควรทำให้ผู้อื่นรู้ตัว ผู้น้อยจึงได้แต่วิ่งไล่ตามไป ก่อนจะเห็นพวกนางเลี้ยวมุ่งหน้าไปทางสระชิงหู”
จวนหย่งเฉิงโหวมีสระน้ำอยู่แห่งหนึ่ง ใช้อักษรคำว่า ‘ชิง’ เป็นชื่อ ทัศนียภาพยอดเยี่ยมงดงามยิ่ง
ยามนี้สวินเจินกำลังขมวดคิ้ว ใบหน้าคล้ายฝากแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกร้อนรน “ตอนนั้นผู้น้อยรู้สึกผิดปกติ เรือนรับรองที่ท่านโหวใช้รับรองแขกบุรุษมิใช่ตั้งอยู่ริมสระน้ำหรือไร ผู้น้อยร้อนอกร้อนใจยิ่ง พยายามวิ่งขึ้นหน้าอย่างสุดกำลัง ใครจะไปนึก จู่ๆ ที่ด้านหน้าก็มีเสียงตูมดังลั่น หลังจากนั้นก็มีคนตะโกนว่า ‘ช่วยด้วย’ ผู้น้อยตกใจเหงื่อเย็นแตกพลั่ก วิ่งตรงไปที่หัวมุมนั่นก่อนจะมองเห็นคุณหนูห้าเฉินตกลงไปในน้ำ ส่วนสาวใช้รายนั้นหายตัวไปแล้ว ที่ริมฝั่งมีขันทีน้อยสองคนคอยฉุดคุณหนูห้าขึ้นมา…”
“ขันที?” เฉินอิ๋งเอ่ยปากตัดบทอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ใบหน้าตื่นตระหนกยากจะปิดบัง “เจ้าหมายถึงขันทีในวัง?”
สวินเจินเอ่ยปากยืนยันหนักแน่น “เรียนคุณหนู เป็นขันทีจากในวังจริงๆ เจ้าค่ะ ผู้น้อยจำเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของพวกเขาได้”
มิผิด เพราะสวินเจินเคยตามเฉินอิ๋งเข้าวังไปหลายต่อหลายครั้ง เสื้อผ้าอาภรณ์การแต่งตัวของคนในวังนางย่อมรู้จักดี
เห็นได้ชัดว่าแขกที่มาในวันนี้มีชนชั้นสูงจากในวังมาร่วมงานด้วย
หรือว่าที่เฉินหานหน้าเปลี่ยนสีเมื่อครู่ก็ด้วยเพราะเหตุนี้
เพียงแต่ไม่รู้ว่าผู้สูงศักดิ์คนใดถึงได้มีฐานะสูงส่งเช่นนั้น
หรือจะเป็นองค์รัชทายาท? พอคิดถึงจุดนี้เฉินอิ๋งก็นึกประหวั่นใจขึ้นมาทันที
ยามนี้เองเสียงของสวินเจินดังขึ้นอีกครั้ง นางยังคงเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในยามนั้น “ผู้น้อยเห็นขันทีหลายคนยืนอยู่ริมฝั่ง มีอยู่สองสามคนที่ดูเหมือนจะเป็นพ่อบ้าน ท่ามกลางคนเหล่านั้นมีผู้สูงศักดิ์สวมใส่อาภรณ์ผ้าดิ้น มีเกี้ยวทองประดับศีรษะอยู่ทางด้านบน อายุราวๆ สิบสองสิบสามปี ผู้น้อยได้ยิน…”
นางขยับขึ้นหน้ากระซิบเสียงแผ่วเบาลง “…ผู้น้อยได้ยินขันทีน้อยเรียกเขาว่า ‘องค์ชาย’ ”
องค์ชาย?
หนุ่มน้อยอายุสิบสองสิบสาม?
ความรู้สึกหวาดประหวั่นก่อนหน้านี้จางหายไปอย่างรวดเร็ว
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าชายหนุ่มสูงศักดิ์ผู้นี้ต้องเป็นนายน้อยของขันทีพวกนั้นแน่
เฉินอิ๋งใคร่ครวญโดยละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง เพียงไม่นานก็ได้คำตอบ บุรุษผู้นั้นหากไม่ใช่องค์ชายสามก็ต้องเป็นองค์ชายสี่
เมื่อตอนที่เดินทางไปล่าสัตว์ที่เขาเสี่ยวสิง เฉินอิ๋งเคยพบเจอพวกเขามาก่อน คนทั้งสองล้วนอายุสิบกว่าปี หากมองดูเผินๆ ทั้งคู่ต่างล้วนอ่อนโยนเปี่ยมเมตตายิ่ง ทว่าในเขตวังหลวงมีคนที่อ่อนโยนเปี่ยมเมตตาอยู่จริงกระนั้นหรือ
เฉินอิ๋งครุ่นคิด หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ถอนหายใจเงียบๆ
ไม่ว่าเช่นไรเฉินหยวนก็โชคดียิ่งนัก บังเอิญพบเจอกับองค์ชาย อีกทั้งยังได้รับการช่วยเหลือจากขันที จึงยังสามารถรักษาความบริสุทธิ์ของชื่อเสียงเอาไว้ได้อยู่
นอกจากนี้ต่อให้ชื่อเสียงของนางมัวหมอง จำเป็นต้องยุติเรื่องนี้ด้วยการแต่งงาน คู่ของนางไม่ว่าจะองค์ชายสามหรือองค์ชายสี่ก็ล้วนนับเป็นเขยขวัญได้ทั้งคู่ อย่างไรก็ดีกว่าลูกผู้ดีมีเงินกเฬวรากพวกนั้น
เพียงแต่หากงานแต่งงานนี้สำเร็จ เช่นนั้นชีวิตขุนนางของเฉินซวินก็เกรงว่าคงต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงขึ้นเป็นแน่ ไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นจวนหย่งเฉิงโหวจะมีท่าทีเช่นไร
ยังมีฮ่องเต้หยวนจยาอีก พระองค์จะทรงยินดีเห็นองค์ชายพระองค์หนึ่งเกี่ยวดองเป็นญาติกับขุนนางที่กุมอำนาจทางการทหารไว้ในกำมือกระนั้นหรือ
พอคิดมาถึงจุดนี้เฉินอิ๋งก็ไม่อยากนึกคิดต่อ นางไม่เชี่ยวชาญเรื่องการบริหารแผ่นดิน ขอเพียงเฉินหยวนไม่มีอันใดเสียหาย นั่นย่อมนับเป็นโชคดีใหญ่หลวงแล้ว
เฉินอิ๋งเอ่ยปากถาม “หลังจากนั้นเจ้าก็กลับมา? พวกเขาสังเกตเห็นเจ้าบ้างหรือไม่”
สวินเจินส่ายหน้า “ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นผู้น้อย ในเวลานั้นผู้น้อยซ่อนอยู่ตรงหัวเลี้ยวห่างจากริมสระค่อนข้างไกล ทุกคนต่างกำลังยุ่งอยู่กับการช่วยคนจึงไม่มีผู้ใดมองมาทางผู้น้อย”
หลังจากหยุดอยู่ครู่หนึ่งนางก็เอ่ยปากต่อ “เพราะเห็นคุณหนูห้าถูกช่วยขึ้นมาแล้ว อีกทั้งยังมีขันทีวิ่งไปตามคน ผู้น้อยจึงย้อนกลับมาตามเส้นทางเดิมไม่กล้ารั้งรอโอ้เอ้ เพียงแต่ตอนเดินมาได้ครึ่งทาง เพราะบังเอิญพบคุณหนูสี่เฉินพาคนมุ่งหน้ามาจึงได้แต่อ้อมไปทางอื่นทำให้กลับมาถึงช้าไปบ้าง”
เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็ค้อมกายแสดงคารวะ เอ่ยปากแผ่วเบา “เรื่องที่ผู้น้อยทราบก็มีเพียงเท่านี้”
“ดีมาก ลำบากเจ้าแล้ว” เฉินอิ๋งยิ้มกล่าว นางรู้สึกโล่งอกขึ้นมาเล็กๆ
เรื่องนี้จำเป็นต้องรายงานต่อสวี่ซื่อ ทว่ารายละเอียดทั้งหลายกลับต้องตัดทอนบางอย่างออก อย่างน้อยเรื่องเฉินหยวนได้รับการช่วยเหลือจากองค์ชายก็ไม่อาจพูดได้
ครั้นไตร่ตรองถึงจุดนี้ เฉินอิ๋งก็กำชับสวินเจิน “อีกสักครู่ตอนกลับไปถึงเรือนรับรอง จงบอกเล่าเรื่องนี้ต่อฮูหยินหย่งเฉิงโหว นางอาจเรียกเจ้าไปสอบถาม เจ้าก็บอกถึงแค่เรื่องที่เจ้าให้ต้าจ้วนคอยจับตามองคุณหนูรองเซี่ยกับเรื่องที่เจ้ารีบกลับมารายงานต่อข้าเท่านั้นก็พอ เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นห้ามบอกกล่าวต่อผู้ใดเป็นอันขาด จำได้หรือไม่”
สวินเจินเองก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นางตอบสีหน้าจริงจัง “ผู้น้อยทราบแล้ว ผู้น้อยจะไม่เอาเรื่องนี้ไปพูดกับคนอื่นเจ้าค่ะ”
เฉินอิ๋งยิ้มพยักหน้า หยิบเอาถุงน้อยใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อก่อนจะยื่นส่งออกไป “อา นี่เป็นตั๋วชุดสำหรับเข้าชมการแสดงเรื่องใหม่ของชุมนุมการแสดงในราชสำนักเรื่อง ‘หัวใจทระนง’ รอบละสี่ใบ เจ้าไปดูเองก็ดี หรือจะมอบให้กับผู้อื่นก็ได้ แล้วแต่เจ้าเลย”
สวินเจินแทบจะกระโดดออกจากที่นั่งใต้ขื่อ ใบหน้าแดงระเรื่อเพราะตื่นเต้น
‘หัวใจทระนง’ เป็นการแสดงเรื่องใหม่ของชุมนุมการแสดงในราชสำนัก เป็นการแสดงที่นางอยากดูแต่กลับไม่อาจได้ดูสักที พอได้ยินเช่นนี้นางถึงได้ตื่นเต้นมากมายเยี่ยงนี้