ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 663-665
บทที่ 665 แผ่นฟ้าผืนปฐพี
จะว่าไป หลัง ‘จนศพสุดท้าย’ โด่งดัง เฉินอิ๋งก็ไตร่ตรองถึงละครเรื่องต่อไปมาโดยตลอด หลังจากพินิจพิจารณาโดยละเอียด ในที่สุดนางก็ตัดสินใจจะดัดแปลงบทประพันธ์ชั้นยอดของจินยง* เรื่อง ‘หัวใจทระนง’
นางนำบทละครไปทูลเกล้าถวายต่อฮ่องเต้หยวนจยา ก่อนจะได้รับพระราชทานอนุญาตจากพระองค์อย่างง่ายดาย เรียกได้ว่าแทบไม่ต้องเปลืองแรงอันใด
ไม่ว่าจะยุคสมัยใดแผ่นดินใด ผลงานการประพันธ์เกี่ยวกับความรู้สึกของพวกชาวบ้าน กระตุ้นจิตใจรักชาติจำพวกนี้ล้วนได้รับการสนับสนุนอย่างยิ่งยวด อีกทั้งยังมีตลาดรองรับ
ภาพยนตร์สเกลใหญ่ๆ ของฮอลลีวูดทั้งหลายไม่ว่าจะละครแฟนตาซี ละครเกี่ยวกับสงคราม หรือไม่ก็ละครประกอบเพลงทั้งหมดล้วนพยายามฝากแฝงการขายค่านิยม ขับขานอรรถบทของพวกเขาไว้ด้วยกันทั้งสิ้น
การพระราชทานอนุญาตของฮ่องเต้หยวนจยารวมถึงความโด่งดังของมันในภายหลังล้วนแต่เป็นสิ่งที่สามารถคาดเดาได้
เทียบกับละครเล็กๆ ที่มีตัวละครไม่มากนัก เต็มไปด้วยรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่าง ‘จนศพสุดท้าย’ แล้ว ‘หัวใจทระนง’ เรียกได้ว่าเป็นวรรณกรรมที่มีขอบเขตกว้างขวางกว่ามาก มีเส้นเรื่องแตกแขนงยุบยับเต็มไปหมด อุดมไปด้วยตัวละคร ไม่อาจเล่าได้หมดในองก์เดียว
ด้วยเหตุนี้เฉินอิ๋งจึงตัดสินใจแบ่งมันออกเป็นตอนๆ แบบเดียวกับในยุคศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด แบ่งบทละครออกเป็นทั้งหมดห้าตอน แต่ละตอนจะใช้เวลาแสดงประมาณสองชั่วโมงครึ่ง รวมทั้งหมดยาวสิบสองชั่วโมงครึ่ง หากต้องการดูให้ครบถ้วนสมบูรณ์ วิธีการที่ง่ายที่สุดคือดูตามลำดับเป็นระยะเวลาห้าวัน วันละตอน
ทว่าเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของชาวบ้านที่เป็นชนชั้นกลางจนถึงล่าง ตั๋วจึงได้แต่ต้องขายเป็นตั๋วแยก ตั๋วชุดถึงจะมีจำหน่าย แต่เพราะมีจำนวนจำกัดหนำซ้ำราคาหรือก็สูงลิบลิ่ว เรียกได้ว่าเป็นธรณีประตูที่ทำไว้สำหรับคนมีเงินโดยเฉพาะ
นอกจากนี้เหล่านักแสดงหรือก็จำต้องพักผ่อน ฝึกซ้อม เสื้อผ้าอุปกรณ์การแต่งกายต่างๆ ก็ต้องการเวลาสับเปลี่ยน ดังนั้นทุกเดือน ‘หัวใจทระนง’ จึงแสดงได้แค่ยี่สิบวันเท่านั้น ซึ่งนั่นก็หมายความว่าหนึ่งเดือนจะมีโอกาสเพียงสี่ครั้งเท่านั้นที่จะสามารถดูละครเรื่องนี้ได้ครบถ้วนสมบูรณ์
ดังนั้นตั๋วชมละครเรื่องนี้จึงจัดเป็นของที่หาได้ยากยิ่ง
โดยเฉพาะตั๋วชุด เพราะนอกจากจะหาได้ยากแล้ว ขนาดราคาพุ่งทะยานขึ้นไปถึงห้าร้อยตำลึงก็ยังขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
ทว่าในเวลานี้เฉินอิ๋งกลับหยิบยื่นตั๋วชุดนั่นให้กับนางถึงสี่ชุด แล้วมีหรือที่สวินเจินจะไม่ตื่นเต้นดีอกดีใจ
สวินเจินรับเอาถุงน้อยนั่นมาถือไว้ด้วยมืออันสั่นเทา ประคองมันไว้บนอุ้งมือราวกับเป็นอัญมณีล้ำค่าหายาก ความรู้สึกปลาบปลื้มยินดีอัดแน่นอยู่ในอกจนเจียนจะระเบิด นางมองมาทางเฉินอิ๋งด้วยใบหน้าแดงก่ำ ละล่ำละลักถามว่า “คุณหนู…คุณหนู…ให้ผู้น้อยจริงกระนั้นหรือเจ้าคะ”
“อันนี้ข้าตั้งใจจะให้เจ้าอยู่แล้ว เพียงแต่เพราะมัวแต่ยุ่งวุ่นวายเลยไม่สบโอกาสมอบให้เจ้าสักที” เฉินอิ๋งยิ้มกล่าวก่อนจะหยิบถุงน้อยอีกใบออกมาจากแขนเสื้อ ยัดใส่มือนาง “อันนี้ต่างหากถึงจะเป็นรางวัลของเจ้า ด้านในล้วนเป็นเงินเม็ดถั่วครึ่งเฉียน อีกไม่นานก็จะเทศกาลวสันตฤดูแล้ว เจ้าเก็บไว้แจกจ่ายผู้อื่นเถอะ”
สวินเจินรับมันไว้ด้วยสองมือ ดีใจจนทำอะไรไม่ถูก กล่าวขอบคุณเดินลงจากศาลามางงๆ จนกระทั่งถูกดีดหน้าผาก นางถึงได้รู้สึกตัว
นางส่งเสียง “โอ๊ย” ออกมาคำหนึ่งพลางกุมหน้าผาก ครั้นทอดสายตามองไปนางก็พบว่าจือสือกำลังยืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าคล้ายยิ้ม
“ดีใจจนเสียสติไปแล้วหรือไร ข้าเรียกแต่เจ้ากลับไม่ขานตอบ ตอนนี้วิญญาณคงกลับเข้าร่างแล้วกระมัง”
สวินเจินรู้ดีว่าตนเองไม่มีเหตุผลข้ออ้างใด นางรีบเก็บถุงน้อยอย่างระมัดระวัง โอบแขนอีกฝ่าย “พี่สาวของข้า พี่สาวผู้แสนดี” นางเอ่ยปากประจบประแจง “ข้าสำนึกผิดแล้ว ก็แค่ดีใจมากเกินไปหน่อยเท่านั้น คุณหนูมอบตั๋วการแสดงให้ข้าสี่ชุด คราวนี้ข้าจะดูให้เต็มอิ่มเลยทีเดียวเชียว”
จู่ๆ นางก็คล้ายนึกอะไรขึ้นได้ สวินเจินมองดูจือสืออย่างระมัดระวัง เอ่ยปากเอาใจอีกฝ่าย “หากพี่ชอบ เช่นนั้นพวกเราก็ไปดูด้วยกันเถิด”
“เจ้าคิดว่าข้าติดดูละครเหมือนเจ้าหรือไร” จือสือพูดราวกับหงุดหงิดโมโห ผลักอีกฝ่าย “พอได้แล้วๆ จะมาเกาะแกะข้าด้วยเหตุใดกัน เจ้าไม่ใช่ขนมหนิวผีถัง* เสียหน่อย ลงไปเฝ้าอยู่ข้างล่าง ทำหน้าที่ของเจ้าให้ดี เช่นนี้ย่อมเหนือกว่าเชิญข้าดูละครร้อยรอบเป็นไหนๆ”
สวินเจินขานรับยินดีและไปยืนเฝ้าอยู่ที่ปากทาง
จือสือส่ายหน้า เพราะรู้ดีว่านิสัยชอบดูละครของอีกฝ่ายยากที่จะแก้ได้ นางจึงไม่พูดอันใดอีก ทำเพียงยกชายกระโปรงเดินขึ้นบันได เข้าไปในศาลา
ยามนี้เฉินอิ๋งลุกขึ้นยืนพิงร่างอยู่กับราวรั้ว
ลมพัดแรงกว่าเมื่อครู่ กระโปรงสีแดงของนางพัดม้วนสะบัดไหว ขับดุนอยู่กับสีหน้าราบเรียบสะอาดสะอ้านราวกับถูกชะล้างด้วยน้ำ
จือสือมองดูผู้เป็นนาย ในใจไม่วายนึกทอดถอนใจ
จือสือจำได้ชัดแจ้ง เมื่อครู่ตอนเฉินหยวนปรากฏตัวอยู่บนระเบียง ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างกลับกลายเป็นจืดชืดซีดเซียว มีก็แต่คุณหนูของพวกนางเท่านั้นที่ยืนสงบนิ่งสุขุม ราวกับทั่วทั้งแผ่นฟ้าผืนปฐพี ไม่ว่าจะต่อหน้าโฉมสะคราญที่งดงามที่สุดหรือวีรบุรุษผู้กล้าอันใด นางก็ยังคงเป็นนาง และเป็นได้ก็แต่นางเท่านั้น
บางทีคำว่า ‘เสน่ห์’ ที่ผู้คนบนโลกกล่าวถึงก็คือเช่นนี้
แม้ในใจจะคิดเช่นนี้ ทว่าจือสือก็ยังคงเก็บงำความรู้สึกไว้ นางเดินขึ้นหน้าค้อมกายกล่าว “คุณหนู ไม่ทราบว่าพวกเราจะกลับเรือนรับรองเลยหรือไม่เจ้าคะ หรือว่าคุณหนูคิดจะเดินเล่นต่ออีกสักพัก”
“กลับกันเถอะ ออกมาเดินเล่นอยู่นานแล้ว พวกเราควรกลับกันเสียที” เฉินอิ๋งผินหน้ายิ้ม เรียกนางให้ขยับเข้ามาใกล้พลางกระซิบสั่ง “ข้ายังมีเรื่องให้เจ้าเหนื่อยอีก ไปที่รถม้าของพวกเรา เอาถุงผ้าดิ้นที่ข้าเก็บไว้ใต้กระดานพื้นรถออกมา ข้ามีเรื่องจำเป็นต้องใช้”
นั่นเป็นเงินที่นางตกลงรับปากจะให้เฉินหานหยิบยืม
เงินนี้เดิมทีเฉินอิ๋งเตรียมไว้เผื่อมีเรื่องจำเป็นอันใดต้องใช้ เก็บซ่อนมิดชิด นอกจากตัวนางเองแล้วก็มีเพียงจือสือเท่านั้นที่รู้ แม้แต่หลี่ซื่อเองก็ยังไม่รู้
พอได้ยินเช่นนั้นจือสือก็รู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กๆ ไม่รู้ว่าเฉินอิ๋งจะเอาเงินพวกนั้นไปทำอะไร เพียงแต่เพราะเป็นคนสุขุมมาแต่ไหนแต่ไร ถึงจะนึกสงสัยแต่นางก็ไม่เอ่ยปากถามมากความอันใด ทำเพียงขานรับก่อนจะเดินจากไป
รถม้าของแต่ละจวนล้วนจอดอยู่ที่ลานด้านหน้าสุดหลังผ่านเข้าจวนมา เพื่อเลี่ยงไม่ให้เหล่าอิสตรีทั้งหลายบังเอิญชนคนเข้า จวนหย่งเฉิงโหวจึงทำทางแยกไว้อีกเส้นทางหนึ่ง สามารถเชื่อมต่อถึงลานเรือนด้านหลังได้ จะได้ไม่ต้องอ้อมไปอ้อมมา
จือสือเดินมาตามทางดังกล่าว นางเดินพลางกวาดตามองด้วยสายตาสงบนิ่งเยือกเย็น
เฉินหยวนตกน้ำ ถูกบุรุษช่วยไว้ เรื่องนี้สำคัญใหญ่หลวงยิ่ง ทว่ายามนี้ในจวนทุกอย่างกลับเป็นปกติ บ่าวไพร่ทั้งหลายต่างทำหน้าที่ของตนเอง ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย คล้ายไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
นี่เห็นได้ชัดว่าสวี่ซื่อปกครองจวนอย่างมีแบบแผนมากขึ้นเรื่อยๆ เหนือกว่าตอนอยู่จวนกั๋วกงเป็นไหนๆ
จือสือเดินพลางมองดูพลาง หัวสมองครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ไม่ทันได้รู้ตัวนางก็เดินผ่านประตูไปหลายต่อหลายชั้น ในที่สุดลานกว้างก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า บนกำแพงคือประตูดอกเหมยงดงาม นั่นก็คือจุดจอดรถม้า
ที่แห่งนี้นอกจากจะใช้เป็นที่จอดรถม้าแล้ว ซ้ายขวาของระเบียงประสานยังมีเรือนอิฐหลังคากระเบื้องอีกหลายหลัง เพดานกว้างขื่อแดงกว้างโล่งแบบเดียวกัน มีไว้ให้สารถีบ่าวไพร่ที่ติดตามรถได้หยุดพักเท้ากินอาหาร ในห้องมีน้ำชากับของว่างหยาบๆ จัดเตรียมไว้
ตอนจือสือเข้าไปด้านใน นางก็พบกับหญิงรับใช้สูงวัยทำงานจิปาถะของจวนสกุลเฉินสองคนกำลังขบเมล็ดแตงอยู่ใต้ชายคาระเบียง พอเห็นนางเข้าหญิงรับใช้สูงวัยทั้งสองก็โยนเปลือกเมล็ดแตงลงกับพื้น เดินตรงเข้ามาด้วยท่าทีหวาดประหวั่น รอยยิ้มระบายอยู่เต็มใบหน้า ราวกับนึกโมโหที่ไม่อาจบุปผาผลิบานอยู่บนใบหน้าได้
“เหตุใดแม่นางถึงมาที่นี่ได้เล่า คงไม่ใช่เพราะพวกนายท่านฮูหยินทั้งหลายจะไปแล้วกระมัง” หญิงรับใช้สูงวัยรูปร่างค่อนข้างอ้วนเรี่ยวแรงค่อนข้างมากชิงยิ้มถามพลางผลักหญิงรับใช้สูงวัยรูปร่างสูงผอมที่อยู่ข้างๆ ออก
หญิงรับใช้สูงวัยที่รูปร่างผอมกว่ารายนั้นไม่ยอมแพ้ รีบเบียดอีกฝ่ายกลับไป แตะชายเสื้อของจือสือแผ่วเบา จุปากถอนหายใจ “รูปร่างของแม่นางไม่ต่างอันใดกับนักแสดงกายกรรมบนหลังม้า รูปร่างสะโอดสะองเสื้อผ้าอาภรณ์แบบบางยิ่ง ไม่ทราบว่ารู้สึกหนาวบ้างหรือไม่ ข้าจะเข้าไปรินชาร้อนๆ มาให้ ข้างในยังมีขนมโก๋งาอีก แม่นางต้องการกินรองท้องสักชิ้นสองชิ้นหรือเปล่า”
* หลุยส์ จา เหลียงยง นักเขียนนวนิยายจีนที่ทรงอิทธิพลที่สุด เป็นที่รู้จักดีในชื่อนามปากกา ‘กิมย้ง’ หรือ ‘จินยง’
* ขนมหนิวผีถัง เดิมเป็นสุดยอดขนมของเมืองหยางโจว มีรสหวานหอม ส่วนผสมหลักทำจากแป้งข้าวสาลีและน้ำตาล ชั้นนอกคลุกงาสม่ำเสมอกันก่อนตัดเป็นชิ้น แต่ด้วยสัมผัสที่หนึบเหนียว จึงถูกใช้เปรียบเปรยถึงคนที่หน้าหนาตามพัวพันไม่เลิกรา
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 มิ.ย. 66 เวลา 12.00 น.