ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 666-668
บทที่ 667 บุรุษนัยน์ตาเยี่ยงอสรพิษ
“ตามหาข้ามีอะไร” หลังจากเดินอยู่ไม่นาน ในที่สุดสิงเหว่ยก็เอ่ยปากถาม น้ำเสียงเย็นชาฝากแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกชิงชัง คล้ายนึกไม่ออกว่าอีกฝ่ายตามหาตนเองด้วยเรื่องอันใด
ทว่าเฉินเซ่ากลับไม่เหมือนกัน ใบหน้าของเขาประดับไว้ซึ่งรอยยิ้มดั่งลมวสันต์ ผ้ารัดเอวสะบัดไหวคล้ายต้องลม ย่างเยื้องด้วยท่วงท่าสบายๆ คล้ายไม่ได้ยินคำพูดของสิงเหว่ย
“เจ้าเป็นใบ้หรือไร” เมื่อรออยู่ครู่ใหญ่แล้วเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมพูดยอมจาเช่นนั้น สิงเหว่ยก็คล้ายโมโห น้ำเสียงยิ่งเดือดดาลชิงชังคล้ายกัดฟันเค้นมันออกมา
เฉินเซ่ายังคงไม่ใส่ใจ เขาทำเพียงเดินขึ้นหน้า เพียงไม่นานจู่ๆ ภาพตรงหน้าก็กลับกลายเป็นโปร่งโล่ง สระกว้างคลื่นลมสงบนิ่ง แผ่นฟ้าผืนน้ำกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ที่แท้ปลายสุดของเส้นทางที่พวกเขาเดินมาก็คือสระชิงหูนี่เอง
เรือนรับรองใหญ่ที่ใช้รับรองแขกสร้างขึ้นริมสระ แลดูงามวิจิตร เสียงพูดคุยหัวเราะครึกครื้น เสียงสังคีตเสนาะหูดังลอยผ่านผิวน้ำมา ยิ่งต้องกับสายลมก็ยิ่งชวนหนาวสะท้านขึ้นอีกหลายส่วน เทียบกับบทเพลงดั้งเดิมแล้วกลับไพเราะงดงามยิ่งกว่า
เฉินเซ่าปัดเสื้อตัวนอก เดินขึ้นหน้าช้าๆ จนกระทั่งมาถึงลานชมทัศนียภาพริมสระ เขาหยุดชะงักเท้า ยังคงไม่พูดไม่จา
“เฮอะ” สิงเหว่ยเงยหน้าขึ้นน้อยๆ กวาดตามองไปรอบๆ พลางส่งเสียงหยามเหยียดออกมาคำหนึ่ง สายตาจ้องอยู่ที่แผ่นหลังของอีกฝ่าย ปากกล่าววาจาเย็นชาว่า “เจ้าเป็นขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก เดิมควรเห็นปวงประชาเป็นสำคัญ ห่วงใยทั่วหล้าอยู่เป็นนิตย์ ทว่าพวกเจ้ากลับไม่คิดถึงบ้านเมือง ไม่สนใจความรู้สึกของพวกชาวบ้าน ทั้งหมดเป็นก็แต่ขุนนางละโมบโลภมาก วันๆ รู้จักก็แต่ทำตัวเหลวไหลไร้สาระ”
พอพูดถึงตรงนี้จู่ๆ เขาก็เลิกคิ้ว สีหน้าเย้ยหยัน “ข้าว่าที่เจ้ารีบร้อนตามหาข้าคงไม่ใช่ต้องการให้ข้ามาชมทัศนียภาพฟังการแสดงอันใดกระมัง”
สิงเหว่ยขมวดคิ้วส่ายหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเหยียดหยาม “หากเป็นเช่นนี้ก็หาจำเป็นไม่ ข้ายินดีผิงเตาดื่มชาอยู่กับคนชั้นต่ำพวกนั้นมากกว่าจะมาเสวนาอยู่กับชนชั้นสูงอย่างพวกเจ้า”
แม้จะได้ยินคำพูดยาวเหยียดของอีกฝ่ายเช่นนั้น เฉินเซ่าก็ยังคงหน้าไม่เปลี่ยนสี เขาลดแขนลง แขนเสื้อกว้างสีครามตกอยู่ข้างกาย ลายปักเมฆาบนแขนเสื้อสอดรับกับจะงอยปากสีแดงของนกกระเรียน
“เสียงเห่าหอนของสุนัขรบกวนความสงบของคน” เขายิ้มกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว ทว่าน้ำเสียงกลับราบเรียบราวกับไร้ซึ่งความรู้สึก
สิงเหว่ยสีหน้าเย็นชา เขากวาดตามองไปรอบๆ อีกครา ไม่กล้าทำอันใดเกินเลย ได้แต่ก้มหน้าค้อมเอว ท่าทางต่ำต้อยยิ่งยวดคล้ายน้อมรับคำสั่งสอนของผู้เป็นนาย แต่คำพูดที่หลุดออกจากปากกลับไม่สอดคล้องกับฐานะเลยแม้แต่น้อย “เลิกพูดเหลวไหลได้แล้ว เจ้าเรียกข้ามามีธุระอันใด”
น้ำเสียงแผ่วเบาคล้ายออกมาจากใต้พื้นดินกระนั้น
เฉินเซ่ามองไปรอบๆ อย่างไม่นึกกังวล ทุกท่าทีล้วนงามสง่าชวนให้คนนึกเลื่อมใส
เพียงแต่คำพูดของเขากลับตรงกันข้ามกับท่วงทีนี้โดยสิ้นเชิง เส้นเสียงกระจ่างใสชุ่มชื้นดั่งอาบไว้ด้วยยาพิษ เย็นเยียบประดุจน้ำแข็ง ทุกตัวอักษรล้วนชวนให้รู้สึกหนาวสะท้าน “คนเป็นนายตามหาสุนัข ย่อมต้องการเรียกใช้มัน แต่เจ้ากลับดื้อด้านดึงดัน ต้องการกินมูลคำโตก่อนสองสามคำถึงจะยอมฟังคำคน คำพูดที่ว่าสุนัขไม่อาจเลิกกินอาจมนั้นเหมือนจะแนบแน่นอยู่กับตัวเจ้ายิ่งนัก”
“มีอะไรก็รีบว่ามา” สิงเหว่ยต่อความอย่างรวดเร็ว เขาเงยหน้าขึ้น บนใบหน้าจืดชืดเต็มไปด้วยรอยยิ้มจอมปลอม ก่อนจะเค้นคำพูดออกมาสี่คำ “มีลมรีบผาย”
เฉินเซ่ากวาดตามองปราดหนึ่ง จู่ๆ มุมปากก็ยกขึ้น
ทันใดนั้นก็คล้ายลมหนาวพัดปะทะใบหน้า ไอน้ำเย็นเยียบปะทะเข้ากับร่างกาย อุณหภูมิโดยรอบลดต่ำลง รอยยิ้มเย็นเยียบเคร่งขรึมจริงจังนั่นเหมือนจะแทรกลึกถึงกระดูก
สิงเหว่ยรูม่านตาหดเล็ก อารมณ์กลับกลายเป็นโกรธขึ้งอย่างรวดเร็ว คล้ายเดือดดาลกับความรู้สึกขี้ขลาดชั่วแวบนั้น
เขาเงยหน้าขึ้น มองตรงมาทางเฉินเซ่า ดวงตาคล้ายมีเปลวไฟลุกโชน ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็คล้ายหมายฉีกทึ้งอีกฝ่ายออกเป็นชิ้นๆ
จู่ๆ เขาก็เลิกแสดงละคร ไม่ยอมทำตัวต่ำต้อยเหมือนอย่างที่คนภายนอกเห็นอีก
สถานที่แห่งนี้ว่างเปล่าเงียบเหงา ด้านหน้าผืนน้ำกว้างเชื่อมต่อถึงท้องนภา ด้านหลังกกเหลืองอ้อขาว คำพูดการเคลื่อนไหวสีหน้าท่าทางของเขาทั้งหมดล้วนไม่มีผู้ใดมองเห็น สิงเหว่ยปลดหน้ากากออก เผยให้เห็นถึงอารมณ์ความรู้สึกที่แท้จริง
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดเขาก็ปริปากเอ่ยวาจายากลำบากออกมาประโยคหนึ่ง “เจ้ากับเฉียนอวี้ผิงพบกันแล้วใช่หรือไม่”
เฉินเซ่าไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับ เขาทำเพียงส่งเสียง “อืม” ออกมาคำหนึ่งแทนคำตอบ สีหน้าท่าทางไม่ต่างอันใดกับเมฆจางสายลมแผ่วพัด
สีหน้าของสิงเหว่ยหม่นหมองลงทันใด
หลังจากนั้นเพียงชั่วอึดใจสีหน้าหม่นหมองนั่นก็กลายกลับเป็นเจ็บปวด แม้แต่น้ำเสียงก็ยังไม่ต่างกัน ใบหน้าเศร้าสร้อยขมขื่น “เขาบอกความประสงค์ของนายท่านกับเจ้าแล้ว?”
คำตอบที่อีกฝ่ายมอบให้ยังคงเป็นเพียงคำว่า “อืม” พยางค์เดียว คล้ายเกียจคร้านยิ่งนัก ไม่ปรารถนาจะพูดมากแม้เพียงครึ่งคำ
“นายท่านมอบหมายเรื่องอันใดบ้าง แล้วบอกหรือไม่ว่าจะลงมือเมื่อใด” สิงเหว่ยถามออกมาอีกครั้ง สองตาแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกวาดหวัง สีหน้ากลับกลายเป็นเร่งร้อนขึ้นมาทีละน้อย
“เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับเจ้าด้วย” ในที่สุดเฉินเซ่าก็หันหน้ากลับมา กวาดตามองอีกฝ่ายอย่างไม่พึงพอใจ
สายตาเพิกเฉยไม่ต่างอันใดกับเหล่าเทพเซียนค้อมกายมองดูมดปลวกต่ำต้อย เขามองพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉื่อยเนือยจืดจางของเขา “ข้าจำได้ว่าตำแหน่งของเฉียนอวี้ผิงในสมาคมนั้นสูงกว่าเจ้า ว่ากันตามหลักแล้ว เรื่องของเขาเจ้าแทบจะไม่มีสิทธิ์สืบรู้ ยิ่งเป็นแผนการของนายท่านของเจ้าด้วยแล้วก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ข้าพูดไม่ผิดกระมัง”
เส้นเสียงราบเรียบไม่ฝากแฝงอารมณ์ความรู้สึกอันใด คล้ายเสียงพิณสุดท้ายที่ดังอ้อยอิ่งก่อนจะลับหายไปกับสายลม
สิงเหว่ยพลันสีหน้าเปลี่ยนแปลง แววตาเร่งร้อนวาดหวังดับมอดลงทีละน้อย
สุดท้ายเขาก็คล้ายสูญสิ้นกำลัง ศีรษะค้อมตกอย่างคนไร้เรี่ยวแรง เอวค้อมไปทางด้านหน้า เอ่ยวาจาราบเรียบว่า “ไม่ทราบนายท่านมีบัญชาอันใด”
ในที่สุดท่าทางของเขาก็กลับกลายเป็นเยี่ยงที่บ่าวไพร่พึงมี
“ข้านึกเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้” เฉินเซ่าสีหน้าสงบนิ่ง เขายกมือขึ้นลูบแขนเสื้อ ท่วงท่างดงามสุขุมทว่าน้ำเสียงกลับเคร่งเครียด รุนแรง กลัดกลุ้มอยู่เลาๆ “ไม่ ควรต้องบอกว่าข้าจำคนผู้หนึ่งได้แล้ว”
สิงเหว่ยเงยหน้าขึ้นทันที “เจ้าจำผู้ใดได้ หนึ่งในฝูง ‘กระรอกดิน’ พวกนั้น?”
“ใช่” เฉินเซ่าพยักหน้าน้อยๆ ไปทางสระ เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คนผู้นั้นแฝงตัวลอบสังหารข้าตอนข้าอยู่ที่หนิงซย่า ใบหน้าของเขาข้าจำได้ไม่ชัดแจ้งนัก ทว่าดวงตาของเขานั้นข้าไม่มีวันลืม นัยน์ตาของเขาไม่ต่างอันใดกับงูพิษยากจะลืมเลือนได้ เมื่อครู่ตอนเห็นดวงตาคู่นั้น ข้าก็มั่นใจได้ทันทีว่าเขาคือคนที่ทำร้ายข้าในยามนั้น”
สิงเหว่ยสีหน้าเย็นยะเยือก ชักเท้าเดินขึ้นหน้าสองก้าวอย่างไม่รู้ตัวพร้อมกระซิบถาม “เจ้าพบเจอคนผู้นั้นที่ใด แล้วยามนี้เขาอยู่ที่ไหน”
เฉินเซ่าสองมือไพล่อยู่ทางด้านหลัง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันน้อยๆ “ก่อนจะมาหาเจ้า เพราะต้องการแกะจดหมายลับที่เฉียนอวี้ผิงส่งมาออกอ่าน ข้าจึงไปที่สวนดอกไม้เล็กๆ ที่นั่นสงบเงียบไกลหูไกลตาผู้คน หลังข้าอ่านจดหมายจบก็เผาทำลายมัน ครั้นเดินพ้นออกจากประตู เพราะบังเอิญมีคนเดินผ่านมา ข้าจึงไปหลบอยู่ที่หลังประตู บังเอิญคนผู้นั้นหันหน้ามา ทันทีที่ใบหน้าของเขาปรากฏต่อสายตาข้า ข้าก็จำได้ทันที คนผู้นี้ก็คือชายนัยน์ตาเหมือนงูในยามนั้น”
มือที่ไพล่อยู่ทางด้านหลังของเฉินเซ่ากุมเข้าหากันแน่น หัวคิ้วขมวดเป็นอักษร ‘ชวน’* พลางพูดต่อว่า “เขาคล้ายกำลังมองหาคน สายตากวาดซ้ายกวาดขวาตลอดทาง จากรูปร่างของเขา คนผู้นั้นเหมือนกับชายนัยน์ตาเฉกอสรพิษในความทรงจำของข้าไม่ผิดเพี้ยน ข้าว่าเขาน่าจะเป็นองครักษ์ของจวนใดสักแห่ง อาภรณ์กระชับทะมัดทะแมงบนเขียวล่างดำ บริเวณชายขอบมีกระดุมสำริดติดอยู่สองแถว รูปร่างสูงประมาณเจ็ดฉื่อห้าชุ่น ดูแข็งแรงปราดเปรียว เท่าที่ข้ารู้คนผู้นี้เชี่ยวชาญวิทยายุทธ์ไม่ใช่น้อย”
พอพูดถึงจุดนี้เฉินเซ่าก็หันมองสิงเหว่ยคราหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็เผยรอยยิ้ม
จู่ๆ แผ่นฟ้าผืนปฐพีก็เปิดออก ลมพัดผ่านผิวน้ำ รอยยิ้มนี้ทำเอาแผ่นฟ้าผืนปฐพีกลับกลายเป็นจืดชืดหมดสิ้น
“ที่ข้ารู้ก็มีเพียงเท่านี้ หลังจากนี้ทั้งหมดก็เป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว” เขาพูด น้ำเสียงราบเรียบนั้นแฝงไว้ซึ่งอารมณ์เย้ยหยันเล็กๆ “ข้ารู้ว่าเจ้ามีลูกน้องอยู่เพียงไม่กี่คน เพราะฉะนั้นข้าจะช่วยจัดเตรียมคนเอาไว้ให้ หากยังหาไม่พบ เช่นนั้นเจ้าก็คงต้องไปรายงานต่อนายท่านของเจ้าเองแล้ว”
พอพูดจบเขาก็โบกมือเอื่อยเฉื่อย “เจ้าไสหัวไปได้แล้ว”