ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 666-668
บทที่ 668 ในใจยังคงนึกหวั่น
สิงเหว่ยจ้องเฉินเซ่านิ่ง สายตาเคียดแค้นพุ่งตรงออกมาคล้ายต้องการเสียบร่างเขาให้ทะลุเป็นรู กล้ามเนื้อบริเวณข้างแก้มกระตุกไม่หยุด ฟันกระทบกันดังกึกๆ
ความรู้สึกเกลียดชังที่เขามีต่อเฉินเซ่าพุ่งขึ้นถึงขีดสุด
ทว่าหลังจากนั้นอีกหนึ่งอึดใจ จู่ๆ เขาก็ชักสายตากลับ ก้มหน้า ฝืนเก็บอารมณ์ความรู้สึก ทำเพียงแสดงคารวะ
“สิ่งที่นายท่านมอบหมาย ผู้น้อยต้องทำให้สำเร็จลุล่วง” น้ำเสียงแผ่วเบาเย็นชาเหมือนเช่นทุกครั้ง ไม่ฝากแฝงอารมณ์อันใดเยี่ยงก่อนหน้านี้อีก
เฉินเซ่าไม่หันหน้ากลับไปและไม่ตอบอันใดแม้เพียงครึ่งคำ
สิงเหว่ยไม่กล้าชักช้าเสียเวลาอีก เพียงค้อมกายแสดงคารวะและหันหลังเตรียมเดินจากไป
“อา ข้าเกือบลืมไป” จู่ๆ เฉินเซ่าก็เรียกให้เขาหยุด สีหน้าเอ้อระเหยลอยชาย คล้ายกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ “ก่อนข้าจะไปตามหาเจ้า ข้าได้บอกเรื่องนี้กับเฉียนอวี้ผิงแล้ว เขาบอกว่าเขาจะรายงานข่าวสำคัญนี้ให้นายท่านทราบ”
เส้นเสียงกระจ่างชัดไม่ต่างอันใดกับเสียงดนตรีที่ลอยข้ามผ่านผิวน้ำมา หนึ่งร้องหนึ่งสอดประสาน เกิดเป็นท่วงทำนองแปลกประหลาด
จู่ๆ เขาก็ยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าก็ทำตัวให้ดีๆ ก็แล้วกัน”
สิงเหว่ยหันหลังให้เฉินเซ่า ไม่แม้แต่จะหันมองกลับมา แผ่นหลังโค้งงอคล้ายมีภูเขาสูงใหญ่หนาหนักทาบทับอยู่ทางด้านบน
หลังจากผ่านไปสองสามอึดใจ ในที่สุดเขาก็เหยียดตัวตรง ร่างกายโงนเงนอยู่น้อยๆ ก่อนจะเดินจากไป
ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าจากทางด้านหลังค่อยๆ ห่างออกไปไกล เฉินเซ่าที่ยืนอยู่ริมสระก็เหยียดตัวตรง ท่วงทีแลดูหงอยเหงาอยู่สองสามส่วน
ผืนน้ำกว้างดั่งคันฉ่อง ยามนี้กลางสระกลายเป็นน้ำแข็งแล้ว นกนางนวลนกกระสาที่ไม่กลัวความเหน็บหนาวกระพือปีกอยู่เหนือผืนน้ำแข็ง จะงอยปากแดงปีกขาว แผ่นฟ้าเขียวเมฆจางส่องสะท้อนอยู่เหนือแผ่นน้ำแข็ง งดงามเสมือนภาพวาด
เฉินเซ่าทอดสายตามองไกลออกไป สีหน้าไม่อาจบอกได้ว่าทุกข์หรือสุข สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจออกมา
ขณะเดียวกันกับที่เขากำลังทอดถอนใจ เฉินอิ๋งก็ยกชายกระโปรงขึ้นน้อยๆ ย่างเท้าเดินออกจากเรือนรับรอง
ที่อยู่ไกลออกไปหน้าประตูฉุยฮวามีแขกยืนจับกลุ่มกันอยู่บ้างก็สองคนบ้างก็สามคน ต่างกำลังกล่าวคำอำลาอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ หลี่ซื่อเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
สวี่ซื่อจู่ๆ ก็ ‘ปวดหัวรุนแรง’ จำต้องเชิญท่านหมอมาดูอาการ
ผู้เป็นเจ้าบ้านล้มป่วย แขกย่อมไม่อาจนั่งอยู่ต่อได้ ด้วยเหตุนี้งานเลี้ยงนี้จึงได้แต่ต้องยุติก่อนเวลา
เฉินอิ๋งยืนอยู่ทางด้านล่างของบันได ถอนหายใจแผ่วเบา
ควันขาวบางเบาลอยละล่องตามลมหายใจเข้าออกทำให้นางหวนนึกถึงวัยเด็กในชาติภพแรก มันเคยเป็นเกมการละเล่นของเด็กกำพร้าในสถานสงเคราะห์
“คุณหนู คุณหนูสามให้คนมาส่งข่าวเจ้าค่ะ บอกว่านางมาส่งคุณหนูไม่ได้แล้ว” สวินเจินเอ่ยปากเสียงแผ่วเบาอยู่ข้างๆ
เฉินอิ๋งพยักหน้ารับ
เมื่อสองเค่อก่อนหน้านี้ ทันทีที่กลับมาถึงเรือนรับรอง นางก็มอบถุงผ้าดิ้นนั่นให้กับเฉินหานที่กำลังเฝ้ารออยู่
เฉินหานเป็นคนที่ไว้ใจได้ ไม่เคยเอาเงินใครไปเปล่าๆ ปลี้ๆ นางใช้เครื่องประดับศีรษะกล่องเล็กๆ เป็นหลักประกัน ราคาเครื่องประดับเหล่านั้นมีค่ามากกว่าเงินที่นางยืมไปหลายสิบเท่า
เฉินอิ๋งตกตะลึงไปกับการกระทำของอีกฝ่าย นางยืนกรานปฏิเสธ
แค่การยืมเงินเท่านั้น เขียนหนังสือสัญญากู้ยืมก็ได้แล้วมิใช่หรือไร หาจำเป็นต้องใช้เครื่องประดับล้ำค่าเหล่านี้มาเป็นหลักประกันไม่ ที่สำคัญไปกว่านั้นมูลค่าของของทั้งสองฝ่ายก็ไม่เท่าเทียมกัน นางรับไว้มีแต่จะร้อนลวกมือ
เพียงแต่เฉินหานยืนกรานหนักแน่น ไม่ยอมเขียนหนังสือกู้ยืม ขอเลือกใช้เครื่องประดับศีรษะเป็นหลักประกัน หนำซ้ำยังไม่ยอมลดจำนวนลงแม้แต่ชิ้นเดียว ทั้งสองฝ่ายต่างออกตัวไม่ยอมรับ จนสุดท้ายเพราะแทบแตกคอกัน เฉินอิ๋งจึงได้แต่ต้องยอมรับไว้
‘เครื่องประดับศีรษะเหล่านี้ล้วนแต่เป็นของรักของหวงของข้า ห้ามท่านเอาไปให้ผู้อื่นเด็ดขาดและห้ามทำหายด้วย ถึงตอนนั้นข้าจะเอาเงินมาไถ่คืน’ เฉินหานทิ้งคำพูดดังกล่าวไว้ ก่อนจะรีบร้อนเดินจากไป
เฉินอิ๋งเอาข่าวที่สวินเจินสืบรู้มาบอกกับสวี่ซื่อ สวี่ซื่อยามนี้แสร้งทำเป็นป่วย แต่แท้ที่จริงแล้วกลับให้คนในจวนสืบหาตัวหนอนบ่อนไส้ของเซี่ยเหยียนรายนั้น เฉินหานไปครานี้ก็เพื่อไปช่วยสวี่ซื่อ
แน่นอน สตรีจวนโหวมิอาจหายตัวกันไปหมดสิ้น เพราะทำเช่นนั้นเท่ากับเป็นการเสียมารยาทยิ่ง ดังนั้นจึงให้เฉินชิงอยู่ช่วยส่งแขก
“วันนี้โชคไม่ดีเลยจริงๆ ท่านป้าใหญ่จู่ๆ ก็ไม่สบายทำให้ทุกท่านต่างพลอยหมดสนุกไปด้วย ครั้งหน้าพวกเราจวนโหวย่อมต้องชดเชยให้กับทุกท่าน ถึงตอนนั้นข้าจะส่งเทียบเชิญไปให้กับทุกท่าน หวังว่าทุกท่านจะให้เกียรติมาร่วมงานใหม่อีกครั้ง” เฉินชิงยิ้มไปทางเฉินอิ๋งพลางกล่าว
ถึงทั้งสองฝ่ายจะรู้อยู่แก่ใจดี ทว่าเหตุผลผิวเผินนี้ไม่ว่าเช่นไรก็มิอาจไม่พูดถึง
เฉินอิ๋งเอ่ยปากเกรงอกเกรงใจกับนางสองประโยค ครั้นเห็นมีแขกกำลังจะเดินมากล่าวอำลากับเฉินชิง เฉินอิ๋งก็หันหลังเดินลงจากบันไดไป
จากเรือนรับรองถึงประตูฉุยฮวาคือถนนที่ปูลาดด้วยหินเขียวครามกว้างขวางสายหนึ่ง ต้นหลิวที่ยืนเรียงรายตลอดสองข้างทางยามนี้กิ่งใบเหี่ยวเฉาหมดสิ้น มิอาจรับลมอันใด ภายใต้แสงตะวันยามบ่ายจางๆ ท่ามกลางป่าที่ต้นไม้ขึ้นเรียงรายกันอยู่ห่างๆ สามารถทอดสายตามองไปได้ไกลยิ่งนัก
อาศัยจังหวะที่รอบด้านไม่มีคน จือสือเดินขึ้นหน้ามาสองสามก้าว กระซิบรายงานว่า “คุณหนู เมื่อครู่ผู้น้อยพบเจอเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง ถึงจะไม่ใช่เรื่องราวใหญ่โต แต่ผู้น้อยก็รู้สึกไม่สบายใจ คิดไปคิดมาไม่ว่าเช่นไรก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ผู้น้อยควรรายงานให้คุณหนูทราบ…”
นางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ออกมาหมดสิ้น นับแต่เจอเฉินเซ่าจนกระทั่งเกือบชนเข้ากับชายนัยน์ตาเยี่ยงอสรพิษ ทุกรายละเอียดล้วนไม่มีตกหล่น
พอพูดถึงตอนท้ายนางก็กระซิบแผ่วเบาออกมาอีก “…ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หลังจากเกือบชนกับองครักษ์นัยน์ตาเหมือนงูผู้นั้น ผู้น้อยก็รู้สึกเนื้อเต้นใจสั่นอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังไม่อาจลืมดวงตาคู่นั้น เรียนคุณหนูตามตรง นับแต่โตมาผู้น้อยยังไม่เคยกลัวอะไรเช่นนี้มาก่อน จนถึงตอนนี้แผ่นหลังของผู้น้อยก็ยังคงหนาวสะท้าน”
ใบหน้าของนางซีดขาวอยู่น้อยๆ ริมฝีปากไร้สีเลือดสั่นระริก ความรู้สึกหวาดประหวั่นที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนใบหน้าคล้ายยังคงหวาดผวาต่อดวงตาเยี่ยงอสรพิษในความทรงจำนั้น
นางไม่ได้สังเกตว่าสีหน้าที่สงบนิ่งเป็นนิสัยของเฉินอิ๋งนั้นยามนี้เปลี่ยนแปลงกลับกลายอยู่เล็กๆ
บุรุษนัยน์ตาเยี่ยงอสรพิษ
พรรคพวกของคนแคระที่ชื่อ ‘เหล่าไป๋’ มิใช่บุรุษนัยน์ตาเยี่ยงอสรพิษหรือไร
จากปากคำให้การของโม่จื่อจิ้ง บุรุษนัยน์ตาเยี่ยงอสรพิษผู้นี้ทำการใดล้วนร้ายกาจ รอบคอบระมัดระวัง แม้แต่โม่จื่อจิ้งเขาก็ยังไม่ไว้วางใจ จนกระทั่งโม่จื่อจิ้งช่วยเขาสังหารคน เขาถึงยอมบอกเล่าความจริงให้อีกฝ่ายฟังสองสามประโยค
นอกจากนี้โม่จื่อจิ้งยังเคยบอกว่าบุรุษนัยน์ตาเยี่ยงอสรพิษเคยโอดครวญกับเขาว่าชนชั้นสูงในเมืองหลวงผู้หนึ่งเป็นคนยักยอกอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพและเรียกอีกฝ่ายว่า ‘ขี้ขลาด’
ส่วนเซียงซานเซี่ยนจู่ยามนั้นซ่อนตัวอยู่ข้างสระบัว ได้ยินคนสองคนพูดคุยกัน หนึ่งในนั้นเป็น ‘คนร้าย’ ใจโหด ส่วนอีกคนท่วงทีอ่อนแอ คนที่สังหารคน ทำลายศพ แกะรอยตามหาตัวนางล้วนแต่เป็นบุคคลแรก
คนทั้งสองล้วนสามารถปรากฏตัวอยู่ในงานเลี้ยงวันเกิดจวนป๋อได้ สถานะของพวกเขาต้องเป็นที่ยอมรับของผู้คน
ส่วนวันนี้ ในงานเลี้ยงชมบุปผา จือสือบังเอิญพบเจอองครักษ์นัยน์ตาเยี่ยงอสรพิษผู้หนึ่ง
คนที่โม่จื่อจิ้งพูดถึงกับคนที่จือสือพบเจอ รวมถึงเจ้าของเสียงพูดที่กัวหว่านได้ยิน เป็นไปได้หรือไม่ว่า…จะเป็นคนผู้เดียวกัน
นี่เป็นการอนุมานอันเกิดจากข่าวสารทั้งหมดที่เฉินอิ๋งมีตอนนี้
นับแต่การลอบปลงพระชนม์ที่ตำหนักฉางชิวเป็นต้นมา การเคลื่อนไหวของพวกกากเดนคังอ๋องก็อ่อนแรงลงเรื่อยๆ ยิ่งต่อมาภายหลังคดียักยอกที่ซานตงถูกคลี่คลาย พวกเขาก็ยิ่งสูญเสียแหล่งสนับสนุนทางการเงิน หนำซ้ำการลอบสังหารที่เขาเสี่ยวสิงก็ยังทำให้เส้นทางลับที่ซ่อนงำอยู่เนิ่นนานหลายปีถูกเปิดเผย การลงมือถึงสองครั้งของเหล่าไป๋ผู้นั้นยิ่งทำให้เห็นชัดว่าพวกเขาไม่เพียงขาดแคลนเงินทอง หากยังขาดแคลนกำลังพลด้วย
เมื่อรวมข้อมูลต่างๆ เข้าด้วยกัน สิ่งที่โม่จื่อจิ้ง กัวย่วน และจือสือพูด ความเป็นไปได้ที่ข้อมูลทั้งหมดจะบ่งชี้ไปยังคนผู้เดียวกันนั้นนับว่ามีอยู่สูงยิ่ง
“แล้วต่อมาคนผู้นั้นไปที่ใด เจ้าเห็นหรือไม่” หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฉินอิ๋งก็เอ่ยปากถาม
จือสือส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “คุณหนูได้โปรดให้อภัย ผู้น้อยเองก็คิดจะหาตัวเขา แต่คนผู้นั้นเคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่งนัก เพียงชั่วพริบตาก็หายตัวไปเสียแล้ว ไม่ต่างอันใดกับภูตผี”
พอพูดถึงคำว่า ‘ภูตผี’ ร่างของจือสือก็ไม่วายสั่นสะท้านขึ้นอีกครา
* อักษร ‘ชวน’ แปลว่าสายน้ำ ลักษณะคล้ายรอยย่นตรงหว่างคิ้ว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 มิ.ย. 66 เวลา 12.00 น.