ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 669-671
บทที่ 669 เล็งเป้าผู้ต้องสงสัย
ถึงหน้าจะซีดขาว จิตใจเต็มไปด้วยความรู้สึกหวาดประหวั่น แต่จือสือก็ยังคงบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างราบรื่นไม่มีสะดุด คิดอ่านอันใดล้วนกระจ่างแจ้ง
“คุณหนู คนผู้นี้อันตรายยิ่ง ผู้น้อยเพราะรู้สึกไม่สบายใจจึงเอาเรื่องนี้มาบอกกับคุณหนู หากคุณหนูต้องการสืบ ไม่ว่าเช่นไรก็ต้องระวังตัวให้มาก จะปล่อยให้อีกฝ่ายพบเห็นเบาะแสร่องรอยไม่ได้เด็ดขาด” เสียงของนางแผ่วเบาราวกับเสียงยุง ทว่าสีหน้ากลับหนักแน่นจริงจังยิ่ง
เฉินอิ๋งไหนเลยจะยอมบอกความจริงกับอีกฝ่าย นางทำเพียงเอ่ยปากปลอบ “ข้าคงไม่ไปสืบเรื่องนี้ ก็แค่องครักษ์หน้าตาแปลกประหลาดผู้หนึ่งเท่านั้น ข้างกายท่านโหวน้อยหรือก็มีคนจำพวกนี้อยู่มาก หาได้เป็นเรื่องแปลกใหม่อันใดไม่”
พอได้ยินเช่นนั้นจือสือก็ครุ่นคิด นางรู้สึกว่าที่เฉินอิ๋งพูดมาก็มีเหตุผลอยู่เหมือนกัน
ทหารกองกำลังสกุลเผยภายใต้บังคับบัญชาของเวยหย่วนโหวเผยซู่ล้วนแต่เคยออกรบ เป็นทหารแม่ทัพผู้กล้าที่เคยบั่นหัวศัตรูมาแล้วด้วยกันทั้งสิ้น คุณหนูของพวกนางไปมาหาสู่กับท่านโหวน้อยอยู่บ่อยๆ ย่อมไม่รู้สึกแปลกประหลาดอันใด
“เรื่องนี้มิใช่เรื่องใหญ่ พูดไปก็หามีประโยชน์อันใดไม่ เพราะฉะนั้นหยุดมันไว้เท่านี้เถิด” น้ำเสียงดุจสายน้ำดังขึ้นอีกครา ยามดังลอยเข้าหูฟังดูไม่ต่างอันใดกับเสียงสังคีต ขับกล่อมใจของจือสือให้กลับกลายเป็นสงบนิ่ง
นางรีบพยักหน้ากล่าว “คุณหนูได้โปรดวางใจ เรื่องนี้ผู้น้อยจะเก็บไว้ในท้อง ไม่เอ่ยปากกับผู้ใด”
นางเป็นคนปิดปากสนิทมาแต่ไหนแต่ไร สุขุมระมัดระวัง เรื่องใดควรพูดเรื่องใดควรเก็บงำ นางล้วนรู้ดี
เฉินอิ๋งพยักหน้าก่อนจะเอ่ยปากสั่งออกมาอีกครา “ท่านแม่คงอยู่พูดคุยกับคนอื่นๆ ต่ออีกสักพัก เจ้ากลับไปที่รถเตรียมเตากับน้ำชาให้พร้อม บอกกับเจิ้งโซ่วให้เตรียมม้าไว้ พอท่านแม่เสร็จธุระ พวกเราก็จะขึ้นรถม้ากลับกันทันที”
จือสือขานรับ ก่อนจะเดินไปถ่ายความที่ด้านหน้า
เฉินอิ๋งทอดสายตามองไกลออกไป ครั้นเห็นหลี่ซื่อกับเหล่าสตรีชั้นสูงทั้งหลายยังคงพูดคุยอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ นางก็รู้ได้ทันทีว่ายังต้องรออีกสักพัก นางจึงก้าวเท้าออกจากเส้นทางที่ปูลาดไว้ด้วยหินเขียวคราม มุ่งหน้าเข้าไปยังป่าต้นหลิว
แสงตะวันไม่ต่างอันใดกับกระดาษเนื้อบางแผ่นหนึ่ง ปกคลุมอยู่ท่ามกลางผืนป่า กิ่งไม้อันใดล้วนส่องประกายขาวอยู่จางๆ พื้นดินเต็มไปด้วยกองใบไม้ร่วง ไม่มีคนเก็บกวาด ก่อเกิดสำเนียงกระจ่างชัดยามย่างกรายอยู่ทางด้านบน
ไม่ต่างอันใดกับใบบัวเหี่ยวเฉาสดับเสียงฝน ใบไม้โรยร่วงสำเนียงสารทฤดู
เฉินอิ๋งเดินช้าๆ คล้ายไม่มีเป้าหมาย ทว่าในหัวสมองกลับครุ่นคิดไม่หยุด เรียบเรียงข่าวสารข้อมูลมากมาย สรุปรวบยอด คัดกรองตัดทิ้ง
นี่เป็นสิ่งที่นางทำอยู่เป็นประจำ เพียงแต่ก่อนหน้านี้เพราะไม่มีจุดสอดคล้องที่จะทำให้นางเรียบเรียงข่าวสารจำนวนมหาศาลได้ชัดแจ้ง ดังนั้นทุกครั้งที่ครุ่นคิดจึงมักเกิดความสับสน ยากจะจับต้นชนปลายได้
ทว่าวันนี้หลังได้ยินรายงานของจือสือ ภาพตรงหน้าของเฉินอิ๋งก็กลับกลายเป็นเปิดโล่ง นางรู้สึกว่าในที่สุดจุดที่ถูกนางมองข้ามไปนั้นที่แท้ก็อยู่ใกล้แค่คืบ
นางเดินช้าๆ ภาพเหตุการณ์และเรื่องราวมากมายปรากฏวนเวียนอยู่ในหัวของนาง ตำหนักฉางชิว สระบัวมรกต ค่ายผู้อพยพ เขาเสี่ยวสิง…แม้แต่คำพูดที่เคยได้ยินมาเมื่อนานแสนนานพวกนั้น เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก็ถูกเรียบเรียงออกมาหมดสิ้น
นางเงยหน้าขึ้น สายตาคล้ายเหม่อลอยอยู่เล็กๆ ใบหน้าสงบนิ่ง มีเพียงแต่ดวงตาเท่านั้นที่ส่องประกายระยิบระยับคล้ายดวงดาว
ในที่สุดนางก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่นางมองข้ามไปนั้นคือสิ่งใด
คือคน
หรือบางทีอาจเรียกให้เฉพาะเจาะจงลงไปอีกเป็นรายชื่อคน
ใช่แล้ว รายชื่อ
แน่นอน ปัญหาข้อนี้อันที่จริงนางก็เคยครุ่นคิดถึงมาก่อน โดยเฉพาะตอนได้รับรายชื่อของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของอาวุธยุทธภัณฑ์ นางเคยขอมันกับฮ่องเต้หยวนจยามาก่อน
กองทัพใหญ่เคลื่อนพล เกิดเหตุสลับซับซ้อนสับสนได้ง่าย โดยปกติแล้วจะมีขุนนางแนวหลังคอยตรวจนับวัตถุปัจจัย จัดการเรื่องรถม้าเรื่องไพร่พลต่างๆ นอกจากนี้บนเอกสารก็ยังต้องมีการลงนามกำกับไว้ ขอเพียงมีเอกสารในยามนั้น คิดหาตัว ‘หนอนบ่อนไส้ที่เป็นขุนนางชั้นสูง’ ผู้นั้นออกมาย่อมง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ
ทว่าเอกสารเหล่านั้นกลับสูญหายหมดสิ้น
ยามนั้นทหารคังอ๋องประชิดกำแพงเมือง เมืองหลวงวุ่นวายหนัก การสูญหายของข้อมูลเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือคน ยามนี้คิดสืบค้นคงช้าเกินการแล้ว
ทว่าเรื่องนี้ใช่ว่าจะไร้ความหมาย หมดหนทางสืบหา
ตรงกันข้าม ยามนี้ครั้นลองพิจารณาดูดีๆ อันที่จริงยังมีรายนามอีกชนิดหนึ่งซึ่งมีค่ายิ่งเช่นกัน นั่นก็คือรายนามแขกในงานเลี้ยง
บทสนทนาที่กัวย่วนได้ยินมาพวกนั้นเกิดขึ้นในงานเลี้ยงครบรอบวันเกิดของเฉิงซื่อฮูหยินในซิงจี้ป๋อ ส่วนกระดิ่งเจียระไนที่กัวย่วนพกติดตัวเป็นประจำปรากฏขึ้นบนโลกอีกคราในงานเลี้ยงชมบุปผาจวนเจิ้นหย่วนโหว ยังมีวันนี้งานเลี้ยงชมบุปผาจวนหย่งเฉิงโหว จือสือก็บังเอิญพบกับบุรุษนัยน์ตาเยี่ยงอสรพิษ
เมื่อรวมเรื่องทั้งสามเข้าด้วยกันก็จะพบกับกฎเกณฑ์ข้อหนึ่งได้ไม่ยาก นั่นก็คือเรื่องต่างๆ ล้วนเกิดขึ้นในงานเลี้ยงของชนชั้นสูง
ด้วยเหตุนี้จึงพออนุมานได้ว่าบุรุษนัยน์ตาเยี่ยงอสรพิษที่อาจปลอมตัวเป็นองครักษ์ของ ‘ขุนนางสูงศักดิ์ขี้ขลาด’ ด้วยเพราะมีฐานะสูงส่งช่วยกลบเกลื่อนปิดบังทำให้สามารถปรากฏตัวอยู่ในงานเลี้ยงเช่นนี้ได้โดยไม่เป็นที่สะดุดตาคน อีกทั้งยังใช้สถานที่จัดงานเหล่านั้นเป็นที่พบปะนัดหมาย
ตอนคิดถึงจุดนี้ในหัวของเฉินอิ๋งจู่ๆ ก็มีความคิดประการหนึ่งวาบผ่าน
รายชื่อที่มีโอกาสซ้ำกันสูงอีกทั้งยังถูกนางพักวางไว้อีกด้านเหล่านี้ หากพิจารณาเพียงเดี่ยวๆ มันย่อมไม่มีคุณค่าอันใด แต่หากเอาไปเชื่อมโยงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน การคัดตัวผู้ต้องสงสัยออกมาย่อมทำได้ไม่ยาก
เฉินอิ๋งยกยิ้มให้กับอากาศที่ว่างเปล่า รอยยิ้มบนสองแก้มคล้ายมีคล้ายไม่มี
นางหันมองกลับไปช้าๆ ที่ปรากฏต่อสายตาคือป่าเหี่ยวเฉา ดอกไม้ใบไม้สะเปะสะปะ ภายใต้ท้องฟ้าสีครามมีเพียงแสงตะวันจางๆ เนื่องจากก้อนเมฆถูกสายลมพัดล่องลอยบดบัง คนที่พูดคุยยิ้มหัวอยู่ข้างประตูฉุยฮวากำลังเอ่ยปากกล่าวลากันด้วยไมตรีจิต
เฉินอิ๋งหรี่ตา ใจลอยพินิจพิจารณาดูสตรีสองสามนางนั้น
คนพวกนั้นนางล้วนรู้จักมักคุ้น ไม่ว่าจะงานเลี้ยงใดพวกนางล้วนเข้าร่วมด้วยเสมอ
บางทีอาจเพราะเหตุนี้นางถึงได้เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ทั้งๆ ที่คนผู้นั้นอยู่ตรงหน้า แต่นางกลับไม่เคยใส่ใจ
ยามนี้ครั้นจับตามองโดยละเอียด ที่แท้คนที่ยักยอกอาวุธยุทโธปกรณ์ไปก็ปรากฏตัวอยู่ต่อสายตานางนานแล้ว แต่กลับต้องรอจนถึงยามนี้นางถึงเพิ่งจะตระหนัก
โชคดีที่ยังไม่สายเกินไปนัก…
เฉินอิ๋งชักเท้าเดินขึ้นหน้าพลางสั่งสวินเจินที่อยู่ข้างๆ “ข้ารู้ว่าเจ้ารู้จักผู้คนมากมาย มีสหายอยู่แทบทุกจวน โดยเฉพาะกับจวนโหวแห่งนี้ ข้าอยากให้เจ้าไปสืบอะไรบางอย่าง”
พอพูดถึงตรงนี้นางก็ชะงักไปชั่วขณะก่อนจะเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ “ไม่ใช่ ข้าต้องการให้เจ้าไปสืบเรื่องคนผู้หนึ่ง ถามดูซิว่าวันนี้เขามาเป็นแขกหรือไม่”
“เจ้าค่ะคุณหนู ไม่ทราบว่าคุณหนูอยากถามถึงผู้ใด” สวินเจินยังคงไม่รู้เรื่องอันใด นางแย้มยิ้มถาม
เฉินอิ๋งกวักมือเรียกให้นางเข้ามาใกล้ กระซิบลงที่ข้างหูสวินเจินสองสามประโยค ก่อนจะตบมือนางเบาๆ “อย่าได้เจาะจงถามออกมาตรงๆ ให้ทำเหมือนแค่ถามดูเล่นๆ เท่านั้น อีกอย่างห้ามบอกกับคนอื่นว่าข้าสั่งให้เจ้ามาถาม จำได้ใช่หรือไม่”
สวินเจินพยักหน้าเต็มกำลัง คล้ายนึกโมโหที่ไม่อาจถอดหัวลงมาได้
วันนี้ได้รับตั๋วชุดสี่ใบ ความรู้สึกดีอกดีใจของนางพุ่งทะยานถึงขีดสุด โตมาจนป่านนี้นางยังไม่เคยเบิกบานใจอะไรเช่นนี้มาก่อน ยามนี้นางหวังก็แต่ว่าเฉินอิ๋งจะมอบหมายงานให้นางมากขึ้นอีกสักหน่อย ยิ่งเยอะก็ยิ่งดี จะได้สามารถแสดงความจงรักภักดีต่อผู้เป็นนายได้ มิใช่รับของของผู้อื่นมาเปล่าๆ ปลี้ๆ
“เอาล่ะ รีบไปเถอะ ถามจบแล้วก็รีบกลับมา” เฉินอิ๋งพูดเร่งเร้าด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
สวินเจินยิ้มขานรับก่อนจะวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
เฉินอิ๋งเดินออกจากป่าต้นหลิว ลัดเลาะไปตามเส้นทางที่ปูลาดไว้ด้วยหินเขียวคราม สายตายังคงทอดมองไปไกล
ท้องฟ้าสีคราม แสงตะวันสาดส่องไปทั่วบริเวณ เงาร่างในอาภรณ์หรูหราข้างประตูฉุยฮวาแลดูเล็กกระจิ๋วหลิวแสบตา ทำลายความงดงามเงียบเหงาแห่งเหมันตฤดู ขัดแย้งกันอย่างเห็นได้ชัด
เฉินอิ๋งชำเลืองมอง มุมปากปรากฏรอยยิ้มอยู่จางๆ ไม่ต่างอันใดกับแสงตะวันเรืองรองสว่างไสว
ในเมื่อพวกนางมาถึงแล้ว เช่นนั้นเขาก็น่าจะอยู่ด้วยเช่นกัน
ดวงตาใสกระจ่างของนางเรียวโค้ง รอยยิ้มลึกล้ำ…