ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 669-671
บทที่ 670 องค์ชายน้อย
บรรดาอิสตรีในเรือนในกำลังกล่าวอำลา แขนเสื้อกว้างโบกสะบัด ท่วงทีอาลัยอาวรณ์เปี่ยมล้ำด้วยท่วงทำนอง ส่วนแขกบุรุษที่อยู่ยังเรือนรับรองด้านหน้ากลับแตกต่างกันออกไป
เพราะองค์ชายสี่เสด็จมาเงียบๆ อีกทั้งยังไม่ยอมให้เฉินซวินทำฮูหยินผู้เฒ่าสวี่หรือสตรีในจวนคนอื่นๆ แตกตื่นตกใจ ดังนั้นไม่ว่าจะเสด็จมาหรือเสด็จกลับก็ล้วนไม่เอิกเกริก มีเพียงเฉินซวินกับคนอีกไม่กี่คนเท่านั้นที่น้อมส่งเสด็จ
“เฉินโหว วันนี้ข้าสำราญใจยิ่งนัก ขอบคุณสำหรับการต้อนรับเป็นอย่างดีของท่าน ฝากความปรารถนาดีของข้าไปยังกั๋วกงกับฮูหยินผู้เฒ่าด้วย” องค์ชายสี่ประทับอยู่ในรถม้า ที่อยู่ใต้เกี้ยวทองคือพระพักตร์พระโอษฐ์แดงพระทนต์ขาว พระขนงเรียวยาวแทบจะจรดพระกรรเจียก แม้จะไม่สะดุดตาเท่าองค์รัชทายาท แต่ก็นับว่าหล่อเหลาไม่ธรรมดา
ถึงพระชนมายุจะยังน้อย พระหนุกลมมนอวบอิ่มคล้ายเด็กทารก ทว่าท่วงท่ากลับเคร่งขรึมสุขุม การเคลื่อนไหวอันใดล้วนไม่สอดคล้องกับอายุขัย
เฉินซวินรีบกล่าวขอบพระทัย
องค์ชายสี่ยกพระหัตถ์ขึ้นน้อยๆ รับสั่งพระสุรเสียงราบเรียบ “เฉินโหวไม่จำเป็นต้องส่ง ข้าขอตัวก่อน”
ครั้นรับสั่งเสร็จ รถม้าก็เคลื่อนตัวออกไปช้าๆ พวกเฉินซวินค้อมกายอยู่ข้างทาง ครั้นเห็นขบวนขององค์ชายสี่เคลื่อนพ้นประตูใหญ่ไป เขาก็ถอนหายใจโล่งอกและเดินไปทักทายแขกเหรื่อคนอื่นๆ
หลังพ้นออกจากตรอกอันเป็นที่ตั้งของจวนโหว องค์ชายสี่ก็มีรับสั่งให้ตั้งกองขบวน เสียงล้อรถม้าลั่นดังระคนอยู่กับเสียงอาภรณ์ชุดเกราะ ปลายทวนของทหารกองกำลังอวี้หลินเกือบร้อยส่องประกายระยิบระยับน่าเกรงขามเคลื่อนผ่านเขตการค้า
“เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าว่ามาได้แล้ว” เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังลอยมา องค์ชายสี่รับสั่ง สายพระเนตรทอดมองไปที่มุมหนึ่งของรถม้า
ขันทีน้อยรายหนึ่งคุกเข่าอยู่ที่นั่น พอได้ยินรับสั่งก็กล่าวถวายรายงานทันที “ทูลองค์ชาย เมื่อครู่กระหม่อมได้ให้คนไปสืบถามดูแล้ว คุณหนูห้าสกุลเฉินมิได้เป็นอันใดมาก แค่ตกใจนิดหน่อยเท่านั้น ทางฮูหยินท่านโหวมียาสงบใจอยู่ หลังจากต้มให้นางดื่ม เพียงไม่นานคุณหนูห้าก็หลับไป”
“อย่างนั้นหรือ” องค์ชายสี่ผงกพระเศียร แย้มพระสรวลอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นลักยิ้มบนพระพักตร์ซ้ายก็จางหาย
รอยแย้มพระสรวลที่ว่านั้นแลดูไม่ต่างอันใดกับเด็กน้อย
คล้ายรู้พระองค์ดี องค์ชายสี่เก็บรอยแย้มพระสรวลอย่างรวดเร็วก่อนจะตรัสถาม “เราจำได้ว่าตอนคุณหนูห้าสกุลเฉินเดินไปถึงริมสระ ยามนั้นข้างกายนางเหมือนจะมีสาวใช้อยู่ผู้หนึ่ง ทว่าต่อมาหลังนางพลัดตกน้ำ สาวใช้ผู้นั้นก็ไม่รู้หายตัวไปที่ใด เจ้ารู้หรือไม่ว่านางไปที่ใด”
“ขอองค์ชายได้โปรดประทานอภัย เรื่องนี้กระหม่อมมิได้ถามพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีน้อยรายนั้นหน้าตาคล้ายจวนเจียนร่ำไห้ คิ้วตาลู่ตก ไม่มีชีวิตชีวา “เพราะกระหม่อมมิกล้าเอ่ยปากถามตรงๆ เลยได้แต่แอบถามคนที่อยู่แถวนั้น แล้วก็เพราะพวกเขาไม่รู้ถึงฐานะของกระหม่อมจึงมิได้ให้ความสนใจ กระหม่อมปฏิบัติตามรับสั่งอย่างเคร่งครัด ไม่กล้าใช้อำนาจข่มเหงผู้คน จึงได้แต่ถอยกลับออกมา”
องค์ชายสี่พระพักตร์บึ้งตึงขึ้นมาทันที “เฮอะ เราสั่งให้เจ้าไปทำงาน เหตุใดถึงทำงานไม่ได้เรื่องเยี่ยงนี้ เช่นนี้เจ้ายังนับเป็นคนของเรา ยังฟังคำของเราอีกกระนั้นหรือ”
ขันทีน้อยรายนั้นรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจนแทบร้องไห้หลั่งน้ำตา “องค์ชาย กระหม่อมเป็นก็แค่ขันทีตัวน้อยๆ เท่านั้น เรื่องราวในจวนโหว กระหม่อมไหนเลยจะสืบความมากมายอันใดได้ เกิดผู้อื่นรู้ว่ากระหม่อมช่วยองค์ชายสืบ…”
“หุบปาก!” องค์ชายสี่รับสั่งตัดบทเขาอย่างรวดเร็ว ถึงพระองค์จะปั้นพระพักตร์ขึงขัง แต่ถึงกระนั้นพระกรรณของพระองค์ก็ยังคงแดงระเรื่อ ก่อนจะขยายวงไปถึงพระปราง จนพระพักตร์แดงก่ำหมดสิ้น
พระองค์ในยามนี้ยิ่งแลดูคล้ายเด็กตัวน้อย…เด็กตัวน้อยที่หน้าตาแดงก่ำ
ทรงลุกลี้ลุกลนยิ่ง โชคดีที่ขันทีน้อยรายนั้นกำลังหมอบราบอยู่กับพื้นมิได้เงยหน้าขึ้น ดังนั้นจึงมองไม่เห็นพระพักตร์แดงก่ำของพระองค์ในยามนี้
องค์ชายสี่กลอกพระเนตรไปมา ยื่นพระหัตถ์หยิบเปิดหนังสือบนโต๊ะเล่มหนึ่ง บดบังสายพระเนตร
หนังสือใหญ่โตเล่มนั้นบดบังพระพักตร์ไปกว่าครึ่ง พระองค์ถอนพระปัสสาสะอยู่หลังหนังสือคล้ายครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง สีพระพักตร์ขัดเขิน สองพระปรางแดงก่ำมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า ลามไปจนถึงพระศอ
“อะแฮ่ม” ทรงแกล้งไอออกมาคราหนึ่ง พยายามเปล่งพระสุรเสียงออกจากลำคอจนเส้นเสียงทุ้มต่ำลง ฟังดูเปี่ยมอำนาจบารมี “จ้าวอันคัง เจ้าทำงานไม่เอาไหน เราขอลงโทษให้เจ้ากวาดห้องหนังสือสิบวัน”
องค์ชายสี่ขมวดพระขนง หนังสือที่ถืออยู่ในพระหัตถ์ไม่ขยับแม้แต่น้อย ทั้งนี้ก็ด้วยเพราะทรงเกรงว่าจะเผยพระพักตร์แดงก่ำออกมาให้อีกฝ่ายได้เห็น
ขันทีน้อยที่ชื่อจ้าวอันคังก้มหน้าเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “พ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายสี่แย้มพระโอษฐ์ลอบมองเขาผ่านด้านบนของหนังสือ
เพราะไม่มีผู้ใดเห็น รอยแย้มพระสรวลนี้จึงแขวนประดับเหนือพระพักตร์อยู่เป็นนานสองนาน ที่ปรากฏอยู่บนหว่างพระขนงคือท่วงทีเปิดเผยเยี่ยงเด็กน้อย
พระองค์กลั้นพระสรวลอย่างสุดกำลังพลางกล่าว “นอกจากนี้เจ้ายังต้องคัด ‘ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร’* สิบจบมาส่งให้เราภายในระยะเวลาครึ่งเดือนด้วย”
จ้าวอันคังร้อง “หา?!” ออกมาคำหนึ่งพลางคลานเอ่ยปากขอร้องอยู่กับพื้น “องค์ชาย กระหม่อมขอร้อง ทรงให้เวลากระหม่อมอีกสักหลายๆ วันได้หรือไม่ เห็นแก่ที่กระหม่อมเพิ่งหัดเขียนตัวหนังสือยังไม่ทันถึงครึ่งปีด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเขียนตัวหนังสือได้เชื่องช้ายิ่งนัก หาไม่แล้วพระองค์ก็ทรงโบยกระหม่อมเถิด องค์ชาย…”
คำว่า ‘องค์ชาย’ ที่เขาเอ่ยปากออกมาเป็นคำสุดท้ายนั้นออดอ้อนยิ่งนัก ไม่ต้องพูดถึงว่าน้อยเนื้อต่ำใจน่าเวทนาเพียงใด
องค์ชายสี่ลอบแย้มพระสรวลอยู่หลังหนังสือ ถึงจะไม่เปล่งพระสุรเสียงออกมาแต่สีพระพักตร์เบิกบานกลับสว่างไสวเจิดจ้า
หลังจากนั้นพระองค์ก็แสร้งปั้นพระพักตร์บึ้งตึงขึ้นมาอีกครา รับสั่งพระสุรเสียงเคร่งขรึมจริงจัง “เอาล่ะ เห็นแก่ที่เจ้าเพิ่งหัดคัดตัวหนังสือได้ไม่นาน น่าเวทนาสงสาร เราจะลงโทษให้เจ้าคัดมาห้าจบ ไม่อาจน้อยกว่านี้”
จ้าวอันคังยิ้มทั้งน้ำตา เพราะกลัวอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจจึงรีบหมอบลงกับพื้นเอ่ยปากเสียงดัง “พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย รับสั่งขององค์ชายหนักแน่น กระหม่อมย่อมต้องทำตาม”
“เอาล่ะๆ เจ้าไปได้แล้ว เราต้องการคิดเรื่องอะไรบางอย่างตามลำพัง” ครั้นรับสั่งด้วยพระสุรเสียงหนักแน่นมั่นคงจบ พระพักตร์ขององค์ชายสี่ก็มิได้แดงเช่นนั้นอีก ทรงโยนหนังสือไปอีกด้าน
การเคลื่อนไหวทั้งหมดทั้งมวลล้วนกลับไปเคร่งขรึมเหมือนอย่างเช่นในตอนแรก
จ้าวอันคังลิงโลดดีใจ ถอยจากออกไปอย่างรวดเร็ว
ม่านรถม้าเลิกเปิด สายลมเย็นกลุ่มหนึ่งพัดโชยเข้ามา หลังจากนั้นเพียงไม่นานม่านก็ปิดกลับลงไปอีกครั้ง
พระวรกายที่เขม็งตึงเหยียดตรงมาโดยตลอดยามนี้ผ่อนคลายลงเล็กน้อย พระองค์งอพระกรค้ำยันพระหนุ เหม่อมองม่านรถม้าสีดำปักลายเส้นทอง ในความคิดคำนึงเต็มไปด้วยใบหน้างดงามยิ่งยวดดวงนั้น
ที่แท้โลกใบนี้ก็มีสตรีที่เรียกว่า ‘งามล่มเมือง’ อยู่จริง ก่อนหน้านี้ตอนอ่านพบในหนังสือพระองค์มักไม่ทรงนึกเชื่อ ยามนี้ครั้นได้เห็นเองกับตา พระองค์ไหนเลยจะปฏิเสธความจริงข้อนี้ได้อีก
ดูท่าเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ก็คงเป็นเช่นนี้เอง
ทันใดนั้นพระกรรณก็เริ่มแดงระเรื่อขึ้นอีกคราว เสียงขอบคุณแผ่วเบาของดรุณีผู้นั้นลอยละล่องอยู่ข้างพระกรรณ
‘ขอบพระทัยองค์ชายที่ทรงช่วยชีวิต’
คนงดงาม น้ำเสียงหรือก็ไพเราะอ่อนโยนละมุนละไม แม้แต่เสียงของพระมารดาก็มิอาจทัดเทียม
หลังจากนั้นพระองค์ทรงกลับมาได้เช่นไร
องค์ชายสี่ขมวดพระขนง ครุ่นคิดไปมา แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ทรงจำไม่ได้ว่ายามนั้นพระองค์รับสั่งเช่นไร ที่ทรงจำได้ก็มีเพียงเสียงใจเต้นดั่งกลองรัวนั่นเท่านั้น
ยามนั้นพระองค์กังวลพระทัย เกรงว่าเสียงหัวใจเต้นนั้นจะมีคนได้ยิน ทำให้พระเกียรติยศของพระองค์ต้องเสื่อมเสีย
โชคดีที่นางคล้ายไม่ได้ยินอันใดทั้งสิ้น ทำเพียงก้มหน้านั่งอยู่ที่ข้างสระ จนกระทั่งมีคนมารับตัวไป ศีรษะของนางค้อมต่ำอยู่ตลอดเวลา
อา!
องค์ชายสี่ประทับตัวตรง ความรู้สึกเสียพระทัยปรากฏอยู่บนพระพักตร์แดงระเรื่อ
ลืมถามชื่อของนาง
พระองค์เคาะพระเศียรเต็มแรง พระพักตร์ยับย่นขึ้นมาทันที
เห็นอยู่ชัดๆ ว่านางนั่งอยู่ข้างสระ ห่างจากพระองค์ไปไม่ไกล ทรงสามารถเรียกขันทีให้ไปถามไถ่ได้ทุกเมื่อ คิดแล้วก็น่าจะไม่เสียมารยาทอันใด ในเมื่อพระองค์ทรงช่วยนางขึ้นมาจากน้ำ ถามชื่อนางสักคำก็น่าจะได้มิใช่หรือไรกัน
องค์ชายสี่ยืดอกแย้มพระสรวล พระพักตร์ราวกับสว่างไสวขึ้นทันตา