ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 669-671
บทที่ 671 ทุกข์ร้อนกับผลได้ผลเสียของตน
ม่านรถถูกลมพัดม้วนเกิดเป็นเสียงแผ่วเบา
จู่ๆ รอยแย้มพระสรวลบนพระพักตร์ขององค์ชายสี่ก็พลันชะงักค้าง ความรู้สึกกลับกลายเป็นตำหนิติติงตนเองอย่างรวดเร็ว
ไม่ถูก พระองค์หาควรคิดเช่นนั้นไม่ ชายชาติอาชาไนย จิตใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ไหนเลยจะทำเรื่องเสียมารยาทเพียงเพราะบุญคุณเล็กน้อยที่มีต่อผู้อื่น
ต่อให้ทรงช่วยคุณหนูห้าสกุลเฉินไว้ อายุอานามของนางหรือก็ยังน้อย อีกทั้งไม่ว่าเช่นไรผู้อื่นก็เป็นคุณหนูในเหย้าเรือน พระองค์ไหนเลยจะควรเสียมารยาทถามไถ่ชื่อแซ่ของอีกฝ่าย
การกระทำเลินเล่อเช่นนี้ไม่ต่างอันใดกับเติงถูจื่อ* บ้าตัณหาแม้แต่น้อย หากทรงถามออกมาจริงๆ นั่นก็เท่ากับทรงศึกษาคัมภีร์อริยชนเสียเปล่าแล้ว
องค์ชายสี่ผงกพระเศียรเต็มแรง พระหนุกลมมนยับย่นขึ้นมาทันที
“ข้าทำถูกแล้ว” ทรงพึมพำบอกกับตนเอง สีพระพักตร์เคร่งขรึมปลื้มปีติ คล้ายปลาบปลื้มที่สามารถควบคุมสำนึกเหลวไหลชั่ววูบนั้นได้สำเร็จ
ทว่าหลังจากนั้นเพียงอึดใจ พระองค์ก็พระพักตร์แดงก่ำขึ้นมาอีกครา
ยามนั้นใบหน้างดงามของดรุณีน้อยปรากฏชัดอยู่ในพระทัย ยิ่งปรารถนาจะลืมเลือนมากเท่าใดมันก็ยิ่งฝังลึกอยู่ในความทรงจำมากเท่านั้น ต่อให้พระองค์หลับพระเนตร ทุกการขมวดคิ้ว ทุกรอยยิ้ม ทุกการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายก็ยังปรากฏชัดขึ้นทีละน้อย
หลังจากประทับนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง องค์ชายสี่ก็ถอนพระปัสสาสะ วางพระกรกลับลงบนโต๊ะอีกครั้ง ทรงเท้าคางเหม่อลอย
ไม่รู้ว่าคุณหนูห้าเฉินจะจำพระองค์ได้เฉกเดียวกับที่ทรงจำนางได้หรือไม่
ทรงเหม่อมองดูม่านรถม้าขยับไหวไปมา บัดเดี๋ยวก็ขมวดพระขนงถอนพระปัสสาสะออกมายาวๆ บัดเดี๋ยวก็สีพระพักตร์กลัดกลุ้มถอนพระปัสสาสะสั้นๆ บัดเดี๋ยวก็ฉีกพระโอษฐ์แย้มพระสรวลโง่งม บัดเดี๋ยวก็เบิกพระเนตรกว้างเหม่อลอย ครั้นคิดว่าพบเจอกันในวันนี้ไม่รู้ว่าเมื่อใดถึงจะได้พบเจอกันอีก องค์ชายสี่ก็ทรงลอบเป็นทุกข์ หมดอาลัยตายอยาก
จิตใจของเขาว้าวุ่นมิอาจสงบ ตลอดทางเฝ้าทุกข์ร้อนอยู่กับผลได้ผลเสียของตนมิได้หยุด
รถม้าเคลื่อนตัวผ่านถนนทะลุตรอกยาวไปอย่างช้าๆ ก่อนจะเข้าเขตวังหลวงผ่านทางประตูไท่ผิง หลังจากผ่านไปได้ประมาณหนึ่งถ้วยชารถม้าก็หยุดลง
“องค์ชาย ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสียงรายงานของจ้าวอันคังดังลอยมาจากทางด้านนอก
ในที่สุดองค์ชายสี่ก็คล้ายตื่นจากฝัน พระองค์กวาดสายพระเนตรไปรอบๆ ตามสัญชาตญาณ
ม่านรถม้ายังคงปิดอยู่ รอบด้านล้วนแต่เป็นผนัง ไม่อาจมองเห็นทัศนียภาพนอกรถอันใด
ทรงกระแอมกระไอออกมาคราหนึ่งพลางจัดฉลองพระองค์ก่อนจะตรัสด้วยสีพระพักตร์เคร่งขรึม “เรารู้แล้ว”
ทันทีที่สิ้นเสียง องค์ชายสี่ผู้เคร่งขรึมก็กลับมาอีกครั้ง รอยแย้มพระสรวลจางหายไปจากพระพักตร์หล่อเหลางดงาม จะมีก็แต่เพียงสีพระพักตร์สงบนิ่งเรียบเฉย ไม่ต่างอันใดกับนักปราชญ์เฒ่า
ได้ยินเช่นนั้นจ้าวอันคังก็รีบขึ้นหน้าตรงเข้าไปเลิกม่าน ขันทีน้อยอีกคนวางแท่นวางพระบาทสีทองลงกับพื้น องค์ชายสี่เสด็จลงจากรถม้า สายพระเนตรกวาดมองไปทางด้านข้าง เห็นรถกำลังจอดอยู่นอกประตูวังต้องห้าม ทรงสะบัดแขนเสื้อ “ไป ไปตำหนักหย่งเล่อ”
ตรัสจบก็ย่างพระบาทขึ้นหน้ายาวๆ อาภรณ์มังกรทองสีดำขยับไหวตามจังหวะย่างก้าว ถึงลมหนาวจะถาโถม อากาศหนาวเหน็บ แต่ท่วงท่าของพระองค์ก็ยังทรงงามสง่าเปี่ยมอำนาจ
จ้าวอันคังรีบพาคนตามเสด็จอยู่ทางด้านหลัง เพราะรถม้าไม่ได้รับอนุญาตให้วิ่งอยู่ในวังต้องห้ามจึงได้แต่จอดทิ้งไว้อยู่ที่นั่น ส่วนผู้คุ้มกันก็ต้องเปลี่ยนจากทหารกองกำลังอวี้หลินมาเป็นองครักษ์วังหลวง
หลังเสด็จไปตามเส้นทางคุ้นเคยอยู่ครู่หนึ่ง เพียงไม่นานขบวนขององค์ชายสี่ก็มาถึงยังตำหนักหย่งเล่อ
เซียวไทเฮาทรงลงโทษพระองค์เองด้วยการกักตน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ทรงอนุญาตให้เข้าเฝ้า ขนาดฮ่องเต้หยวนจยาพระองค์ก็ไม่ทรงอนุญาตให้เข้าเฝ้า ด้วยเหตุนี้ยิ่งองค์ชายสี่แล้วจึงยิ่งไม่ต้องพูดถึง หลังจากที่หยุดยืนอยู่นอกตำหนักไม่นาน พ่อบ้านชั้นสองของตำหนักหย่งเล่อผางอวี้เหวินก็ยิ้มตาหยีออกมารับหน้า
นี่ก็ด้วยเพราะคนที่มาเป็นองค์ชายเขาถึงต้องโผล่หน้าออกมา หากคนที่มาถึงที่นี่เป็นองค์หญิง คนที่จะออกมาต้อนรับคงไม่แคล้วเป็นขันทีชั้นสาม หากฐานะต่ำต้อยลงมาอีกหน่อยอย่างเหล่าพระสนม เกรงว่าคนที่จะได้พบก็คงเป็นแค่พวกขันทีน้อยในตำหนักหย่งเล่อแล้ว
ส่วนพ่อบ้านใหญ่อย่างเจี่ยงอวี้เซิงนั้นรับผิดชอบก็แต่ฮ่องเต้กับฮองเฮา องค์รัชทายาทกับพระชายาเอกในองค์รัชทายาทเท่านั้น คนอื่นๆ อย่าได้หวังจะให้เขาโผล่หน้าออกมาช่วยถ่ายความให้
จากจุดนี้จะเห็นได้ว่าถึงจะทรงเก็บพระองค์อยู่ในวัง ทว่าตาชั่งในพระหทัยของเซียวไทเฮานั้นก็ยังคงตั้งตรงอยู่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ความแตกต่างระหว่างชั้นหนึ่งกับชั้นสองนี้เรียกได้ว่าชัดเจนกว่าเก่าก่อนเสียด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าในวังยังมีข่าวลืออีกอย่าง ว่ากันว่าเป้าหมายที่เซียวไทเฮาทรงทำเช่นนี้นั่นก็เพื่อหลังสิ้นสุดการกักตน พระองค์จะทรงสามารถจัดการตำหนักในกับตำหนักบูรพาไปพร้อมๆ กัน หากมีผู้ใดกล้าทำตนขัดต่อธรรมเนียมปฏิบัติ ไม่เคารพกฎ พระองค์ก็จะทรงนำตัวไปไว้ตำหนักเย็น มิอาจออกมาได้ชั่วชีวิต
ปลายกระบี่นี้หันชี้ใส่ผู้ใด ขอเพียงมีสมองอยู่บ้างย่อมสามารถเข้าใจได้ไม่ยาก
แน่นอนว่าองค์ชายสี่ย่อมเข้าพระทัย
ทว่าเรื่องระหว่างตำหนักบูรพากับตำหนักหย่งเล่อนั้นหาใช่เรื่องที่องค์ชายสี่อย่างพระองค์จะสอดแทรกอันใดได้ และพระองค์เองก็ไม่ปรารถนาจะทำเช่นนั้นด้วย
พระองค์รับสั่งถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของเซียวไทเฮาด้วยมารยาทอยู่ที่นอกประตู ก่อนจะตรัสวาจาเกรงอกเกรงใจกับผางอวี้เหวินสองสามประโยค สุดท้ายก็ทิ้งขันทีน้อยช่างจำนรรจารายหนึ่งไว้ ให้เขาช่วยรายงานสิ่งที่พบเห็นในวันนี้ต่อเซียวไทเฮา การกระทำขององค์ชายสี่ในวันนี้นับได้ว่าเป็นการแสดงความกตัญญูครึ่งหนึ่ง
ส่วนอีกครึ่งหนึ่งกลับอยู่ที่ตำหนักฉางสี่
ดังนั้นหลังออกจากตำหนักหย่งเล่อ ทุกคนจึงมุ่งหน้าไปยังตำหนักฉางสี่
เทียบกับความเข้มงวดกวดขันของตำหนักหย่งเล่อแล้ว บรรยากาศของตำหนักฉางสี่กลับสงบนิ่งมากกว่า ทุกคนเพิ่งยืนอยู่นอกประตูตำหนักได้ไม่เท่าใด พ่อบ้านใหญ่ตำหนักฉางสี่เก่อเฉาอี้ก็ตรงเข้ามารับหน้า ยิ้มกล่าวว่า “พระองค์ทรงกำลังบ่นถึงองค์ชายสี่อยู่พอดี นึกไม่ถึงว่าองค์ชายจะเสด็จมาเช่นนี้ พระองค์พระทัยตรงกันโดยแท้”
องค์ชายสี่แย้มพระสรวลถามไถ่ทักทายอีกฝ่าย ก่อนจะเสด็จตามเขาเข้าไปภายในพลางตรัสถาม “ชินหวงจู่หมู่ทรงทำอันใดอยู่”
คำว่า ‘ชินหวงจู่หมู่’ นี้ย่อมหมายถึงอู๋ไท่เฟย
นับแต่ตำหนักฉางเล่อแบ่งออกเป็นสอง ฮ่องเต้หยวนจยาก็ทรงเรียกขานเซียวไทเฮาว่า ‘เซิ่งหมู่หวงไท่โฮ่ว’ และเรียกอู๋ไท่เฟยว่า ‘หมู่โฮ่วหวงไท่เฟย’
คนแรกสูงศักดิ์กว่าเล็กน้อย ทว่าคนหลังกลับฟังดูสนิทสนมมากกว่า ฮ่องเต้หยวนจยามีพระทัยโอนเอียงไปทางใด แค่ฟังก็รู้ได้ชัดแจ้งแล้ว
การเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียกขานของฮ่องเต้หยวนจยานี้แน่นอนว่าพระบรมวงศานุวงศ์คนอื่นๆ ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนตามเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เซียวไทเฮาจึงกลายเป็น ‘เซิ่งหวงจู่หมู่’ อู๋ไท่เฟยเป็น ‘ชินหวงจู่หมู่’
ยังคงเป็นคำพูดประโยคนั้น พระทัยของฮ่องเต้หยวนจยาหาได้โอนเอียงแค่เพียงเล็กๆ ไม่
ได้ยินองค์ชายสี่ถามเช่นนั้นเก่อเฉาอี้ก็รีบยิ้มค้อมกาย “ทูลองค์ชายสี่ พระองค์กำลังทอดพระเนตรการละเล่นพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายสี่สองพระเนตรเป็นประกาย “วันนี้เล่นอะไรกัน เตะลูกหนัง?”
ครั้งที่แล้วตอนเสด็จมาถวายพระพร พระองค์ทอดพระเนตรเห็นขันทีน้อยสิบกว่าคนแบ่งออกเป็นสองกลุ่มเตะลูกหนังกันพอดี อู๋ไท่เฟยลงสนามเป็นผู้ตัดสินด้วย อีกทั้งยังทรงกำหนดกฎเกณฑ์การแข่งขันไว้คร่าวๆ ด้วยพระองค์เอง หากมีการทำผิดกฎ ย่อมสามารถร้องเรียนได้ เรียกได้ว่าน่าสนใจยิ่ง ยามนั้นพอองค์ชายสี่ทอดพระเนตรเห็นก็ให้นึกสนพระทัยยิ่ง จนเกือบลืมทำการบ้าน ยามนี้พอได้ยินว่ามีการละเล่นจัดขึ้นอีก ในพระทัยก็ให้นึกอยากร่วมสนุกด้วย
เก่อเฉาอี้แย้มยิ้ม “องค์ชายสี่ วันนี้มิได้เตะลูกหนังพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ให้พวกนางกำนัลน้อยเล่นกระโดดเชือกพ่ะย่ะค่ะ หากองค์ชายสี่สนพระทัยก็ไปตรัสกับพระองค์เองเถิดพ่ะย่ะค่ะ เชื่อว่าต้องทรงอนุญาตแน่”
พอได้ยินว่ากระโดดเชือก องค์ชายสี่ก็หมดความสนพระทัย ทรงอุทานออกมาคราหนึ่ง และรับสั่งพระสุรเสียงเคร่งขรึม “กระโดดโลดเต้นหาใช่เรื่องของบุรุษไม่ เรามิอาจกระทำ”
“องค์ชายสี่ทรงสุขุมคัมภีรภาพยิ่งนัก กระหม่อมเสียมารยาทแล้ว” เก่อเฉาอี้ค้อมกาย วาจากลับกลายเป็นจริงจังขึ้นมาเช่นกัน
มุมพระโอษฐ์ขององค์ชายสี่ยกขึ้นน้อยๆ ก่อนจะเหยียดตรงออกอย่างรวดเร็ว พระองค์ผงกพระเศียร “เราเป็นฝ่ายถามท่านถึงเรื่องการละเล่นเอง หากมีความผิดก็หาใช่ความผิดของท่านไม่ ท่านไม่จำเป็นต้องตำหนิตนเอง”
“ขอบพระทัยองค์ชายที่มิทรงถือโทษพ่ะย่ะค่ะ” เก่อเฉาอี้เอ่ยวาจาอยู่ในกรอบ ไม่มีประมาทแม้แต่น้อย
องค์ชายสี่ผงกพระเศียร ในพระทัยปลาบปลื้มยินดี ทว่าสีพระพักตร์กลับไม่ปรากฏชัด ท่าทีของพระองค์ยังคงราบเรียบจริงจัง
เพียงแต่หลังเข้าไปในโถงตำหนัก สีพระพักตร์เช่นนั้นก็หายลับหมดสิ้น ไม่ต่างอันใดกับลมวสันต์ละลายหิมะ
“ชินหวงจู่หมู่ หลานมาเยี่ยมแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีที่ย่างเท้าผ่านประตูตำหนัก พระองค์ก็แย้มพระสรวลรับสั่ง ลักยิ้มข้างพระปรางปรากฏชัด ผนวกกับพระฉวีขาวสล้างพระโอษฐ์แดงระเรื่อ ไม่ว่าผู้ใดพบเห็นก็ล้วนต่างเอ่ยปากชื่นชมว่าทรงเป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม
* ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร คือหนึ่งในพระสูตรสำคัญของพุทธศาสนานิกายมหายาน
* เติงถูจื่อ คำเรียกเปรียบเปรยคนเจ้าชู้ ในสมัยโบราณมีขุนนางแคว้นฉู่นามว่าเติงถูจื่อ เขาอิจฉาซ่งอวี้ ราชเลขาของฉู่ไหวอ๋องที่เป็นบุรุษรูปงามและมีปัญญา จึงกล่าวหาว่าซ่งอวี้เป็นคนเจ้าชู้ ซ่งอวี้จึงบอกว่าตนมีสาวงามข้างบ้านมาเสนอไมตรีทุกวันยังไม่สนใจ แต่เติงถูจื่อมีภรรยาขี้ริ้วและดุร้ายกลับมีบุตรกับนางถึงห้าคน ใครกันแน่ที่เจ้าชู้มักมาก นับแต่นั้นมาผู้คนจึงเรียกคนเจ้าชู้ว่าเติงถูจื่อ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 มิ.ย. 66 เวลา 12.00 น.