ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 672-674 – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 672-674

บทที่ 673 หิมะเต็มเมือง

ครั้นเห็นเช่นนั้นเก่อเฉาอี้ก็รับรู้ได้ทันที เขารีบออกไปจัดการ

หลังจากนั้นราวๆ หนึ่งถ้วยชาก็มีขันทีน้อยรายหนึ่งเข้ามารายงาน บอกว่าขันทีที่หกล้มได้รับบาดเจ็บรายนั้นกินยาแล้ว หมอหลวงบอกว่าเพราะบาดเจ็บบริเวณศีรษะ ทางที่ดีอย่าเพิ่งเคลื่อนไหว ให้นอนพักดูอาการสักคืนก่อน

พอได้ยินเช่นนั้นองค์ชายสี่ก็หันไปแสดงความขอบคุณต่ออู๋ไท่เฟย

อู๋ไท่เฟยแย้มพระสรวลกล่าวกระเซ้า “ดูเจ้าทำเข้า คำก็ขอบพระทัยสองคำก็ขอบพระทัย ใครไม่รู้จะคิดไปว่าย่ากำลังสอนบัณฑิตเฒ่าพูดจา ทำตัวไม่เหมือนเด็กเลยแม้แต่น้อย” ก่อนจะแสร้งรับสั่งตำหนิออกมาอีกประโยค “หากยังเป็นเช่นนี้อีก ย่าจะโกรธไม่อนุญาตให้เจ้ากินของว่างอีก”

ยังไม่ทันตรัสจบ อู๋ไท่เฟยก็ทรงกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ คนอื่นๆ จึงพลอยหัวเราะตาม

องค์ชายสี่เองก็ลูบพระเศียรหัวเราะ

หลังจากหัวเราะพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง อู๋ไท่เฟยก็สีพระพักตร์อ่อนล้า องค์ชายสี่ไหนเลยจะยังฝืนประทับอยู่ได้อีก จึงทรงลุกขึ้นประคองอู๋ไท่เฟยกลับห้องบรรทมด้วยพระองค์เอง ก่อนจะกล่าวทูลลา

องค์ชายสี่แย้มพระสรวลเดินออกจากตำหนัก ตัดผ่านเส้นทางหินขาว ก้าวข้ามประตูใหญ่ตำหนักฉางสี่ขึ้นไปอยู่บนเส้นทางแคบที่เชื่อมต่ออยู่กับตำหนักจินหวา

ทันใดนั้นรอยแย้มพระสรวลบนสีพระพักตร์ก็จางหาย

ท่าทีขึงขังจริงจังปกคลุมพระวรกายขององค์ชายสี่อีกคราว

ทรงหยุดยืนอยู่ที่ปากทาง พระเศียรก้มต่ำมองดูแผ่นอิฐใต้พระบาท

แผ่นอิฐสีเทาขนาดใหญ่ เพราะต้องลมฝนมาเป็นเวลานานปี ถูกผู้คนย่ำกลับไปกลับมานับครั้งไม่ถ้วน ยามนี้จึงมิได้ราบเรียบเหมือนเก่า ช่องว่างระหว่างแผ่นอิฐแผ่กว้างมากขึ้น เต็มไปด้วยหลุมบ่อ หญ้าแห้งส่ายไหวไปมาอยู่ท่ามกลางสายลม ครั้นฝนตกอิฐที่ถูกขัดมันเป็นเงาพวกนั้นล้วนส่องสะท้อนให้เห็นเงาคน

ทรงจ้องอิฐพวกนั้นอยู่เป็นนานคล้ายเหม่อลอย ขณะเดียวกันก็เหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านเส้นทางแคบยาว ฉลองพระองค์ไหวสะบัด ชายอาภรณ์ตลบม้วน

ทุกคนต่างพากันนิ่งเงียบ ไม่มีใครพูดอันใด แม้แต่เสียงลมหายใจก็ราวกับถูกสายลมกลบไปจนสิ้น

องค์ชายสี่หันพระพักตร์กลับมาช้าๆ มองดูจ้าวอันคังที่อยู่ทางด้านหลัง พระองค์แย้มพระสรวลคราหนึ่ง

ลักยิ้มเยี่ยงเด็กน้อยบัดเดี๋ยวโผล่บัดเดี๋ยวจางหาย

“ขันทีที่ได้รับบาดเจ็บผู้นั้นเป็นใคร” พระองค์ตรัสพร้อมปัดแขนเสื้อคราหนึ่ง

จ้าวอันคังรีบเดินขึ้นหน้าตอบ “ทูลองค์ชาย ขันทีที่ได้รับบาดเจ็บเป็นขันทีชั้นผู้น้อยรายหนึ่ง ชื่อเฉียนอวี้ผิงพ่ะย่ะค่ะ”

“เฉียนอวี้ผิง?” องค์ชายสี่ขมวดพระขนงคล้ายนึกไม่ออกว่ามีคนผู้นี้อยู่ด้วย “เขาทำงานอยู่ที่ใด เหตุใดเราถึงจำไม่ได้”

“ทูลองค์ชาย เขาเพิ่งถูกส่งเข้ามาตอนเดือนเก้าปีนี้” จ้าวอันคังตอบเสียงแผ่ว เอวค้อมต่ำจนเกือบแนบติดพื้น “เดิมเขาปรนนิบัติรับใช้ฮองเฮาอยู่ที่ตำหนักเฟิ่งเจ่า ตอนเดือนเก้าเพราะตำหนักฉางสี่ต้องการคนเพิ่ม ฮองเฮาจึงทรงแบ่งคนมาเพิ่มให้อีกรอบ และด้วยเหตุนี้เขาจึงมาทำงานอยู่ที่ตำหนักจินหวาพ่ะย่ะค่ะ”

พอพูดถึงตรงนี้จ้าวอันคังก็ทำมือทำไม้สองสามครา “ใต้คิ้วของเขามีไฝอยู่เม็ดหนึ่ง อายุน่าจะสักราวๆ สิบแปดสิบเก้าเห็นจะได้ สูงประมาณนี้ สูงกว่ากระหม่อมราวๆ ครึ่งหัว เพราะตัวสูง พระสนมเลยให้เขาดูแลจุดตะเกียงทุกคืน”

พระสนมที่เขาพูดถึงย่อมหมายถึงพระมารดาขององค์ชายสี่ พระสนมหนิงผิน

องค์ชายสี่ทรง “อา” ออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะผงกพระเศียร “ที่แท้ก็เป็นเขา”

ถึงจะรับสั่งเช่นนี้แต่สีพระพักตร์กลับยังคงงุนงง เห็นได้ชัดว่าทรงนึกไม่ออกว่าเป็นผู้ใด

จ้าวอันคังเองก็มิได้พูดถึงเรื่องนี้อีก ก็แค่ขันทีชั้นต่ำผู้หนึ่งเท่านั้น อย่าว่าแต่ผู้เป็นนายเลย แม้แต่พ่อบ้านอย่างเขาบางครั้งก็ไม่แน่ว่าจะเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาได้ถูก

เฉียนอวี้ผิงผู้นั้นมาอยู่ที่นี่ไม่ถึงสามเดือน นิสัยชอบหมกตนเองอยู่แต่ในห้องไม่ต่างอันใดกับน้ำเต้าไม่มีปาก นอกจากก้มหน้าก้มตาทำแล้ว อย่างอื่นอันใดล้วนไม่รู้ มิน่าอยู่มาจนอายุเท่านี้แล้วแม้แต่ระดับสี่ก็ยังไม่ได้เป็น ยังคงเป็นก็แต่เพียงขันทีปลายแถว

ไม่เอาไหนเลยจริงๆ

จ้าวอันคังลอบเบ้ปาก จู่ๆ บนเส้นทางคับแคบก็มีลมพัดมา มุดลอดตามปกเสื้อเข้าไปภายใน

เขาเนื้อตัวสั่นสะท้าน หลังชำเลืองมองสีพระพักตร์ขององค์ชายสี่คราหนึ่ง เขาก็กระซิบเตือนออกมาเบาๆ “องค์ชาย ที่นี่ลมแรงยิ่งนัก พระองค์เพิ่งหายประชวรได้ไม่นาน ไม่ว่าเช่นไรก็ต้องถนอมพระวรกายด้วย”

เมื่อพูดจบเขาก็กอดอกเงยหน้ามองฟ้า ก่อนจะเอ่ยปากเตือนออกมาอีกคราว “ฟ้าเหมือนจะครึ้มลงไม่น้อย คิดว่าอีกไม่นานก็คงจะมีฝนตกหรือหิมะโปรย พระสนมคงรอองค์ชายอยู่ องค์ชายรีบเสด็จกลับเถิด พระสนมจะได้วางพระทัย”

องค์ชายสี่เป็นบุตรกตัญญู แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยขัดพระทัยพระสนมหนิงผิน

คำพูดของจ้าวอันคังทำพระองค์ได้สติ ทรง “อืม” ออกมาคราหนึ่งพลางสะบัดแขนเสื้อ “ไปกันเถอะ”

พระองค์ชักพระบาทออกเดินขึ้นหน้า จ้าวอันคังรีบนำคนตามเสด็จ

ไม่รู้ว่าเศษใบไม้ร่วงจากที่ใดถูกลมหนาวพัดม้วนลอยละล่องขึ้นๆ ลงๆ ตามสายลม

ทุกคนต่างพากันเดินอยู่เงียบๆ

ตรอกยาวเงียบสงัดที่ถูกขนาบอยู่ระหว่างกลางกำแพงแดงตลอดทั้งสองข้างนี้ไม่ต่างอันใดกับด้ายแดงแสบตาสองเส้น บังคับควบคุมผู้คนที่กำลังเดินอยู่ทางด้านบนกลุ่มนี้มิให้พวกเขาข้ามผ่านขอบเขตออกไปแม้เพียงครึ่งก้าว

 

ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่อาจมองเห็นเมฆบางเคลื่อนไหว มีก็แต่เพียงแผ่นฟ้าสีเทาขนาดใหญ่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาทับซ้อนอยู่ด้วยกันชั้นแล้วชั้นเล่า ปกคลุมอยู่เหนือวังต้องห้าม แม้แต่ทั่วทั้งเมืองหลวงก็ยังถูกปกคลุมอยู่ใต้ปีกของมัน

ครั้นถึงยามพลบค่ำ ละอองหิมะก็เริ่มโปรย เพราะอากาศเหน็บหนาว แม้จะตกลงพื้นแล้วแต่พวกมันก็ยังคงไม่ละลาย กลับทับถมอยู่ด้วยกันทีละเล็กละน้อย เพียงไม่นานทั่วทั้งเมืองหลวงก็ถูกปูด้วยเกล็ดหิมะสีเงิน ก่อนจะกลายกลับเป็นเสื้อคลุมสีขาวอาภรณ์สีเงินงดงามในชั่วระยะเวลาไม่นาน

พอถึงตอนจุดโคม หิมะก็โปรยปรายเต็มฟ้า ปลิวว่อนไม่ต่างอันใดกับปุยต้นหลิวลอยละล่องหล่นร่วง ไม่รู้กระตุ้นความรู้สึกของเหล่าปราชญ์เมธีบัณฑิตกี่มากน้อย พวกเขาถึงออกมาถือเทียนหาดอกเหมย เตาแดงชมหิมะ บ้างก็ต้มสุราลากพู่กัน สะบัดน้ำหมึกหน้าไหสุรา ไม่ปล่อยให้วันเวลางดงามผ่านเลย

ลานเรือนนอกเมืองหลวงแห่งหนึ่ง สตรีในอาภรณ์กันหนาวเนื้อหยาบ ใบหน้ามีแผลเป็นชวนประหวั่นอยู่รอยหนึ่ง อาศัยจังหวะที่แสงสายัณห์อบอุ่นสุดท้ายยังคงอยู่แบกจอบผลักเปิดประตูเรือน

นางคล้ายทำงานเหนื่อยมาแล้วทั้งวัน ต่อให้มีบาดแผลกินพื้นที่เกือบครึ่งหน้าก็ไม่อาจบดบังความรู้สึกอ่อนล้าบนหว่างคิ้วนั้นได้

นางวางจอบลงที่มุมระเบียง ยกมือทุบไหล่ เยื้องย่างเชื่องช้าเดินขึ้นไปตามบันไดตรงเข้าไปยังห้องข้างฝั่งตะวันตกเหมือนคนชำนาญเส้นทาง

เพราะไม่มีคนพักอาศัยมาเป็นเวลานาน ข้าวของเครื่องใช้อันใดล้วนมีฝุ่นจับอยู่บางๆ ชั้นหนึ่ง พื้นอิฐไม่มีคนขัดถูทำความสะอาดมาเป็นเวลาช้านาน ครั้นย่ำเท้าลงไป รอยเท้าก็พลันปรากฏชัด

สตรีผู้นั้นกวาดตามองไปรอบๆ สีหน้าหม่นหมองก่อนจะยิ้มหยันตนเองออกมาคราหนึ่ง

“ช่างเถอะ ใช่ว่าเป็นครั้งแรกที่ต้องทำตัวเป็นบ่าวไพร่เสียเมื่อไร” นางพึมพำกับตนเองพลางส่ายหน้าเดินออกไปนอกห้อง หาไม้กวาดผ้าขี้ริ้วมาเก็บกวาดทำความสะอาดห้องข้างฝั่งตะวันตก ครั้นเห็นว่าไม่มีรอยเท้ารอยนิ้วมืออันใดหลงเหลือ นางก็เอาข้าวของต่างๆ เก็บกลับไปยังห้องเก็บของ หลังจากนั้นก็กลับมายังห้องข้างฝั่งตะวันตกอีกครั้ง

ยามนี้แสงตะวันกลุ่มสุดท้ายถูกความมืดกลืนกินหมดสิ้นแล้ว โชคดีที่บนพื้นมีแสงสะท้อนจากกองหิมะ จึงไม่รู้สึกมืดอันใดนัก

นางชะโงกหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมเงี่ยหูฟัง

รอบๆ ไร้เสียงคน หิมะตกหนักเยี่ยงนี้ คนที่อยู่ประจำยามเหล่านั้นต่างล้วนพากันหลบเข้าไปผิงไฟอยู่ในห้องกันหมดสิ้น เวรยามกะดึกที่ปกติก็ไม่เข้มงวดสักเท่าใดอยู่แต่เดิม คืนนี้เกรงว่าจะยิ่งไม่มีผู้ใดสนใจทำงาน

ครั้นคิดเช่นนั้นนางก็ปิดประตูเรือนไว้หลวมๆ หยิบเอาผ้าดำหนาๆ สองสามผืนบนชั้นออกมาด้วยความคุ้นเคย ใช้มันคลุมทับบานประตูไว้อีกชั้น

จากห้องที่แลดูสลัวๆ อยู่แต่เดิม ยามนี้กลับถูกความมืดครอบงำหมดสิ้น ยื่นมือมิอาจเห็นห้านิ้ว

ทว่านางกลับไม่มีทีท่าลนลานแม้แต่น้อย สตรีคนดังกล่าวหยิบเอาเทียนสีแดงเล่มหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ หลังจากนั้นก็จุดมันขึ้น ถือมันเดินเลี้ยวตรงไปยังห้องเชื่อม หยิบเอาเชิงเทียนดอกโบตั๋นงดงามออกมา ปักเทียนลงไปทางด้านบน

เพียงชั่วพริบตาทั่วทั้งห้องก็เต็มไปด้วยแสงเทียนสีแดง เทียนนั้นแม้จะเรียวเล็ก แต่ก็ไม่รู้ว่าทำจากอันใด แสงของมันถึงได้สุกสว่างเป็นพิเศษ เครื่องเรือนทั่วทั้งห้องล้วนมองเห็นได้ถนัดตา แม้แต่ดวงตาเส้นผมของนางก็ยังปรากฏชัดทุกรายละเอียด

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 87-88

    By

    บทที่ 87 ข้อห้าม กู้หมิงเค่อถูกหลี่เจาเกอยั่วโมโหจากไปแล้ว นางอมยิ้มรับช่วงหลักฐาน เอ่ยกับผู้ใต้บัญชาที่ติดตามนางมา “จงขนสิ่งเหล่านี้กลับกอง...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

    By

    บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่าดำออกจากหมู่บ้านมาก็...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 5-6

    By

    บทที่ 5 สังหารภูต   หลี่เจาเกอกลั้นหายใจเพ่งสมาธิ นิ้วมือวางบนด้ามกระบี่ ท่ามกลางหมู่ใบไม้แว่วเสียงความเคลื่อนไหวดังแซกซ่า เงาดำสายหนึ่งพลัน...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.4-2.6

    By

    บทที่ 2-4 สามีภรรยาปลอม   6   บนหอทองล่วงเข้ากลางคืนแล้ว รอบด้านล้วนจุดโคมไฟ เปลวไฟลุกโชติช่วง ในมุมที่ซย่าชิงยวนนั่งอยู่นางสามารถมองเห็นสัน...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

    By

    บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเร้น ภายใต้ผืนนภาราตร...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.1-2.3

    By

    บทที่ 2-1 สามีภรรยาปลอม   1   เมื่อลู่หย่วนเดินมาถึงหน้าประตูก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ผลักประตูเปิดออก สิ่งที่ทำให้เขาสติหลุดล...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

    By

    บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญู เบื้องหน้าท้องพระโ...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com