ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 672-674
บทที่ 674 ไม่ยอมมาพบ
สตรีคนดังกล่าวถือเชิงเทียนไว้ในมือ รอยยิ้มแทบจะเรียกว่าเย้ยหยันนั้นแขวนประดับอยู่บนใบหน้า นางก้าวเดินช้าไปๆ ที่โถงหลัก วางเชิงเทียนลงบนโต๊ะ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่มีที่เท้าแขนซึ่งอยู่อีกด้าน หลังจากนั้นนางก็ไม่ขยับตัวอีก
ในลานมีก็แต่ความเงียบสงัด หากตั้งใจฟังจะพบว่าคล้ายสามารถได้ยินเสียงหิมะโปรยละออง
นางนั่งตัวตรง ใบหน้าร้างไร้ความรู้สึกไม่ต่างอะไรกับดินปั้นหุ่นไม้แกะสลัก สายตาซึมกะทือ เวิ้งว้างว่างเปล่า คล้ายทะลุผ่านกำแพงผ่านความมืดมิดที่ครอบคลุมอยู่ทั่วเรือน ทะลุผ่านหิมะที่โถมกระหน่ำอยู่เต็มฟ้า ลอยห่างออกไปยังดินแดนแสนไกล
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด จู่ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ก๊อก…ก๊อกๆ
เสียงนั้นแผ่วเบายิ่งนัก แฝงไว้ซึ่งจังหวะจะโคนแปลกประหลาด ประเดี๋ยวดังประเดี๋ยวหยุด ซ้ำอยู่สามครั้งสามครา
ดวงตาของสตรีคนดังกล่าวขยับไหวคล้ายในที่สุดก็กลับมามีชีวิตชีวา นางเอนร่างพิงเข้ากับพนักเก้าอี้ รอยยิ้มสุขุมไม่สะทกสะท้านปรากฏอยู่บนมุมปาก นางกล่าวออกมาช้าๆ “เข้ามาเถิด”
แอ๊ด…
ประตูถูกผลักเปิด เงาร่างของคนสองคนมุดลอดเข้ามาภายใน ครั้นเห็นสตรีคนดังกล่าวนั่งอยู่บนเก้าอี้ พวกเขาก็รีบเดินขึ้นหน้าค้อมกายแสดงคารวะ
“ผู้น้อยเสิ่นจิ้งจือคารวะพระชายา ขอพระชายาอายุยืนพันปีพันๆ ปี”
“ผู้น้อยไป๋เหล่าเฉวียนคารวะพระชายา ขอพระชายาอายุยืนพันปีพันๆ ปี”
“รีบลุกขึ้นเถิด นั่งลงก่อนแล้วค่อยว่ากัน” พระชายาคังอ๋องยามนี้รอยยิ้มอาบเต็มใบหน้า สีหน้าเย้ยหยันซึมกะทือก่อนหน้านี้เหมือนจะไม่เคยมีมาก่อน
คนทั้งสองลุกขึ้น ชายรูปร่างผอมสูงแปลกประหลาดเอ่ยปากน้ำเสียงหยาบกระด้าง “ขอพระชายาได้โปรดให้อภัย ผู้น้อยจำต้องแกะผ้ารัดเท้าออกก่อน ขาปลอมนี้ทรมานบัดซบยิ่งนัก”
คนที่กำลังพูดที่แท้ก็คือคนแคระที่ชื่อว่าไป๋เหล่าเฉวียนผู้นั้น
ทันทีที่คำพูดดังกล่าวหลุดออกจากปาก เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าตนเองพลั้งปากแล้ว จึงรีบกล่าวขออภัยออกมาติดๆ “ผู้น้อยเป็นคนหยาบช้า ขอพระชายาอย่าได้ถือสา”
ชายนัยน์ตาเยี่ยงอสรพิษเจ้าของสมญานามเสอเหยี่ยนหรือก็คือเสิ่นจิ้งจือที่อยู่อีกด้านค้อมกายกล่าว “ปกติเหล่าไป๋ก็เป็นเช่นนี้ ขอพระชายาอย่าได้ใส่ใจ”
พระชายาคังอ๋องยิ้ม รอยแผลเป็นบนใบหน้าบิดเบี้ยวชวนประหวั่น ทว่าน้ำเสียงของนางกลับอ่อนโยนอย่างยิ่งยวด “ท่านแม่ทัพทั้งสองเกรงใจเกินไปแล้ว ต่อหน้าข้าหาจำเป็นต้องมากพิธีไม่” พูดจบนางก็ชี้นิ้วไปที่ห้องฝั่งตะวันตก “ที่นั่นสะอาดเรียบร้อย เชิญแม่ทัพไป๋ตามสบาย”
ไป๋เหล่าเฉวียนกล่าวขออภัยก่อนจะรีบถอยจากไป เพียงไม่นานเสียงความเคลื่อนไหวเล็กๆ ก็ดังลอยออกมาจากที่นั่น เขากำลังแกะผ้ารัดเท้าอยู่
พระชายาคังอ๋องสองตาขยับไหวอยู่น้อยๆ หันมองไปทางเสิ่นจิ้งจือ หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง พระชายาคังอ๋องก็ถามเขาเสียงแผ่วเบา “ท่านกับเขา…เคยพบเจอกันกระนั้นหรือ”
คำว่า ‘เขา’ ในที่นี้คือผู้ใด นางรู้ และเสิ่นจิ้งจือก็รู้เช่นกัน
เขาสีหน้าเย็นชาขึ้นมาทันที ก่อนจะตอบเสียงขรึม “เรียนพระชายา ผู้น้อยเคยพบเขาจริงขอรับ”
“เอ๋?” พระชายาคังอ๋องเงยหน้า สายตาวับวาวคล้ายดวงดาวส่องประกาย น้ำเสียงคล้ายรอคอยวาดหวัง “เช่นนั้นเขาพูดว่ากระไรบ้าง แล้วเขาจะมาที่นี่เมื่อใด”
“เขาบอกว่ายังต้องรอก่อน” เสิ่นจิ้งจือสีหน้าบึ้งตึงยิ่งกว่าเดิม “ผู้น้อยให้เขากำหนดวันเวลาที่แน่ชัด แต่เขากลับตอบคลุมเครือ อีกทั้งยังให้ผู้น้อยบอกกับพระชายาว่าครั้นปีนี้สิ้นสุด ข่าวลือที่แพร่สะพัดอยู่ในเมืองหลวงสงบลง ถึงตอนนั้นเขาน่าจะพอปลีกตัวมาได้”
เขาหัวเราะออกมาคราหนึ่งพลางเอ่ยวาจาเย้ยหยัน “หึ ผู้น้อยว่าเขาน่าจะกลัวจนหัวหดแล้วมากกว่า ในระยะเวลาสั้นๆ นี้คงไม่อาจมาได้”
พระชายาคังอ๋องพยักหน้า ไม่ทั้งประหลาดใจไม่ทั้งเดือดดาล แม้แต่ท่าทีผิดหวังอันใดก็ไม่มี นางทำเพียงแตะจอนผมเบาๆ “เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว”
อันที่จริงนางพอจะเดาเรื่องนี้ได้แต่แรกแล้ว
คนผู้นั้นมาหรือไม่มา อันที่จริงนางหาได้นึกใส่ใจไม่ ที่นางใส่ใจคือข่าวคราวของบุตรธิดาทั้งสองที่อยู่แดนไกลนั่นต่างหาก
ทว่าครั้นพิจารณาดูจากในเวลานี้ ตลอดระยะเวลาหนึ่งถึงสองเดือนที่ผ่านมา นางไม่ได้ยินข่าวคราวพวกลูกๆ เลยแม้แต่น้อย
ทว่าขอเพียงคนผู้นั้นปลอดภัย ลูกๆ ของนางก็ย่อมปลอดภัยด้วยเช่นกัน
นางถอนหายใจออกมาเบาๆ เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน นางเองก็จะได้จิตใจสงบ
พูดกันตามตรง ทุกครั้งที่ต้องมอบกายให้กับคนผู้นั้น ความบันเทิงทางร่างกายที่นางได้รับแน่นอนว่าทำให้นางรู้สึกอาลัยอาวรณ์ แต่ถึงกระนั้นนางก็อดนึกไม่ได้ นอกจากคำว่า ‘พระชายา’ ว่างเปล่านั่นแล้ว นางต่างอันใดกับหญิงงามเมืองที่ขายตัวอยู่ข้างถนนเหล่านั้น
ล้วนแต่อาศัยความงามใช่ร่างกายล่อลวงใจคน ไม่ว่าจะเพื่อเงินหรือเพื่ออำนาจ ทั้งสองฝ่ายล้วนไม่มีอันใดแตกต่าง
“ดูท่านเข้า ไหนๆ ก็พูดเช่นนี้เหตุใดจึงมิเอามีดเสียบเจ้า ‘ขี้ขลาด’ นั่นเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว” ไป๋เหล่าเฉวียนไม่รู้เดินออกมาตั้งแต่เมื่อใด ใบหน้าดุดันกล่าว “เจ้านั่นหามีประโยชน์อันใดไม่ สมควรฆ่าทิ้งไปนานแล้ว”
“หากมิใช่เพราะไม่มีคนให้เรียกใช้ ข้าไหนเลยจะร่วมมือกับเขา” พระชายาคังอ๋องถอนหายใจออกมาคราหนึ่งพลางยกมือนวดหว่างคิ้ว “แต่ถึงเขาจะไม่เอาไหนสักเพียงใด แต่อย่างน้อยก็ยังเป็นลูกหลานขุนนางชั้นสูง มีเส้นสายมิตรสหายอยู่ทั่วราชสำนัก ข่าวคราวอันใดล้วนเปี่ยมประสิทธิภาพ หลายปีมานี้จะมากน้อยเช่นไรเขาก็นับว่าช่วยพวกเราไว้ไม่ใช่น้อย แค่เรื่องอันอ๋องก่อกบฏ อาวุธพวกนั้นหากไม่ใช่เพราะเก็บซ่อนไว้ในที่ของเขา ร่องรอยของพวกเราคงถูกสืบรู้สิ้นแล้ว ไหนเลยจะรอดมาถึงยามนี้ได้”
ไป๋เหล่าเฉวียนสองตาปูดโปน มือประสานอยู่ด้วยกันพร้อมเอ่ยว่า “ผู้น้อยเหล่าไป๋เป็นคนหยาบ ในเมื่อพระชายาบอกไม่ฆ่า เช่นนั้นผู้น้อยย่อมไม่ฆ่า”
พอพูดจบเขาก็ไม่รอให้คนอื่นได้พูดอันใด คว้าเก้าอี้มานั่งตามอำเภอใจก่อนจะกวักมือไปทางเสิ่นจิ้งจือ “นั่งลงคุยกัน”
เสิ่นจิ้งจือมองดูเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ อีกทั้งยังไม่ยอมนั่ง แต่ถึงกระนั้นก็มิได้พูดอันใดออกมา
พระชายาคังอ๋องยิ้ม โบกมือไปทางเขา “ช่างเถอะ แม่ทัพเสิ่น ท่านก็นั่งลงคุยกันเถิด แม่ทัพไป๋เองก็เช่นกัน”
ใบหน้าบัดเดี๋ยวกลัดกลุ้มบัดเดี๋ยวยินดีนั้นงามสง่าชวนให้คนแทบจะมองข้ามรอยแผลบนใบหน้านั่น รับรู้ได้ก็แต่บุคลิกของนางนั้นโดดเด่นเหนือผู้ใด ยิ่งไปกว่านั้นบนร่างยังมีกลิ่นอายเข้มงวดกวดขันอีกหลายส่วน
ไป๋เหล่าเฉวียนเดิมยืดเหยียดขานั่ง ทว่ายามนี้เพราะถูกอำนาจของนางกดทับไว้ทำให้กลับกลายเป็นสำรวมเอวหลังเหยียดตรง ท่านั่งเรียบร้อยถูกต้องอย่างไม่รู้ตัว
เสิ่นจิ้งจือกล่าวขอบคุณก่อนจะนั่งตัวตรง สองขาแยกออกเล็กน้อย สองมือวางอยู่บนเข่า เส้นสายจากเอวถึงไหล่จากไหล่ถึงลำคอเหยียดตรงสมบูรณ์งดงาม เห็นได้ชัดว่าได้รับการอบรมมาอย่างเคร่งครัด ทุกการเคลื่อนไหวล้วนเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ
ครั้นนั่งเป็นที่เรียบร้อยเขาก็เอ่ยปากขึ้นอย่างรวดเร็ว “ผู้น้อยเดินทางมาครานี้ เพราะต้องการรายงานให้พระชายาทราบถึงสถานการณ์ที่เขาเสี่ยวสิง”
ต่อหน้าพระชายาคังอ๋อง กลิ่นอายพาลพาโลชั่วร้ายบนร่างของเขาเหมือนจะจางไปหมดสิ้น วาจาอันใดล้วนสำรวมระมัดระวังเยี่ยงขุนน้ำขุนนางราชสำนัก
“เช่นนั้นก็เชิญแม่ทัพเสิ่นว่ามาเถิด ข้าล้างหูรอฟังอยู่” พระชายาคังอ๋องเปลี่ยนท่านั่ง รอยยิ้มชวนประหวั่น ทว่าน้ำเสียงกลับใกล้ชิดสนิทสนมยิ่ง
เสิ่นจิ้งจือกล่าวต่อ “พวกผู้น้อยเดินทางมุ่งหน้าไปซานตง จัดการสังหารคนที่เคยมีสัมพันธ์กับองค์หญิงใหญ่หมดสิ้น โชคดีที่พวกเขาล้วนก็แค่พวกปลายแถว มิเคยได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องลับสำคัญอันใด ส่วนทางจวนองค์หญิงใหญ่เองก็ไม่รู้เรื่องของพวกเรากระจ่างชัด เพราะตามหาพวกเราสุ่มสี่สุ่มห้า สุดท้ายก็ตกอยู่ในสายตาของราชสำนัก พวกผู้น้อยจึงได้แต่ต้องลงมือด้วยความสุขุม ถอนตัวออกมาโดยสิ้นเชิง ยามนี้ในเมื่อคนตายไปแล้ว ความวิตกกังวลอันใดย่อมพลอยหมดสิ้นไปด้วย พระชายาวางใจได้”
“ลำบากแม่ทัพเสิ่นแล้ว แม่ทัพไป๋เองก็ลำบากไม่ใช่น้อยเช่นกัน” พระชายาคังอ๋องอมยิ้มกล่าว สีหน้าคล้ายปลดเปลื้องภาระหนาหนักหมดสิ้น
การติดต่อของจวนองค์หญิงใหญ่นั้นจะว่าไปก็พิลึกพิลั่นยิ่งนัก ไม่มีใครรู้ว่าเพราะเหตุใดต้องส่งข่าวบอกให้มุ่งหน้าไปซานตงด้วย แม้แต่หลังเซียงซานเซี่ยนจู่ถูกลอบสังหาร การติดต่อของฝ่ายนั้นก็ยังคงไม่หยุด
เพราะไม่รู้ถึงสายสนกลใน อีกทั้งยังกลัวว่าจะมีแผนการร้ายอันใดซุกซ่อน ด้วยเหตุนี้การสนับสนุนทางซานตงจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า หลังจากใคร่ครวญซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต่างฝ่ายต่างลองหยั่งเชิงซึ่งกันและกัน จนกระทั่งถึงเดือนหกเดือนเจ็ด ครั้นมั่นใจว่าทางองค์หญิงใหญ่ยินดียอมลดวางความแค้นในการสังหารเซี่ยนจู่ (แต่ไม่สำเร็จ) ลงแล้ว พระชายาคังอ๋องถึงได้ยอมร่วมมือกับทางนั้น
ทว่าใครจะไปนึก ขณะที่การติดต่อในขั้นต่อไปยังไม่ทันได้ลุล่วง จวนองค์หญิงใหญ่กับจวนซิงจี้ป๋อก็ต่างพากันล่มสลาย จนถึงยามนี้พระชายาคังอ๋องยังคงนึกยินดีที่ยามนั้นเรื่องราวทางซานตงดำเนินการไปอย่างระมัดระวัง หาไม่แล้วผลลัพธ์เป็นเช่นไรคงยากจะจินตนาการได้
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 มิ.ย. 66 เวลา 12.00 น.