ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 675-677
บทที่ 676 ทักษะการสร้างสมดุล
สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาในเวลานี้ แม้แต่ไป๋เหล่าเฉวียนก็ยังสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กๆ เสิ่นจิ้งจือยิ่งจิตใจปั่นป่วน สองตาแดงระเรื่อ
จนถึงยามนี้ หากปฏิเสธอีกย่อมเป็นการแล้งน้ำใจ เพราะอับจนเสิ่นจิ้งจือจึงได้แต่คุกเข่าลงกับพื้นกล่าวเสียงสั่นว่า “พระชายามีรับสั่งพวกผู้น้อยย่อมมิกล้าขัด ขอพระชายารักษาพระเกียรติด้วย อย่าได้ค้อมกายเพื่อพวกผู้น้อย”
พระชายาคังอ๋องยิ้มทั้งน้ำตา นางค่อยๆ ลุกขึ้น หยิบเอาตั๋วเงินสองปึกบนโต๊ะขึ้นมาถือไว้ มอบให้พวกเขาสองคนกับมือพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น “วันนี้ก็แค่ภาษีหนึ่งมณฑลเท่านั้น ผู้ใดจะไปรู้วันหน้าไม่แน่ว่าอาจเป็นภาษีของแผ่นดินก็เป็นได้ หลังจากนี้ยังมีงานใหญ่อีกมากที่ต้องให้พวกท่านออกแรงช่วยเหลือ หวังว่าพวกท่านจะแน่วแน่องอาจห้าวหาญ แหวกโค่นดงหนาม ถึงตอนนั้นข้าย่อมชื่นชมยินดี”
ทั้งสองรีบเอ่ยปากขอบคุณก่อนจะรับตั๋วเงินของตนเองไป พระชายาคังอ๋องนั่งกลับลงบนเก้าอี้ บรรยากาศภายในห้องกลับกลายเป็นสนิทสนม
ครั้นอารมณ์เริ่มสงบนิ่ง พระชายาคังอ๋องก็มองไปทางเสิ่นจิ้งจือ ถามเสียงขรึมว่า “แม่ทัพเสิ่น วันนี้คนผู้นั้นได้เล่ารายละเอียดเกี่ยวกับแผนก่อกบฏขององค์หญิงใหญ่ให้ท่านทราบหรือไม่”
“เรียนพระชายา ผู้น้อยถามแล้ว แต่เขาบอกก็แค่คร่าวๆ เท่านั้น” เสิ่นจิ้งจือก้มหน้ากล่าว นัยน์ตาเยี่ยงอสรพิษแฝงไว้ซึ่งพยับเมฆ “เพราะเขาเอาแต่หลบหน้าผู้น้อย ผู้น้อยกว่าจะนัดเขาออกมาได้ก็ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่ พอพบหน้ากันแค่พูดจาได้ไม่กี่ประโยคเขาก็เอ่ยปากขอตัวลาแล้ว”
เมื่อพูดถึงตรงนี้จู่ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้น สีหน้าแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกงุนงงสงสัย “ทว่ารายละเอียดสองอย่างที่เขาเผยกับผู้น้อยนั้นนับว่าแปลกประหลาดยิ่งนัก ผู้น้อยฟังแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ ขอพระชายาวินิจฉัยด้วย…”
พูดๆ ไปเขาก็เล่าเรื่องปิ่นมุกเก่าผ้าเช็ดหน้าเก่าออกมา ก่อนจะเอ่ยปากงุนงง “เดิมผู้น้อยคิดว่าหายนะที่เกิดขึ้นกับจวนทั้งสองเป็นเพราะองค์หญิงใหญ่ทรงติดต่อกับพวกเราอย่างลับๆ จนถูกฮ่องเต้สุนัขนั่นล่วงรู้เข้าถึงได้ถูกลงทัณฑ์ แต่พอได้ยินคนผู้นั้นกล่าว ผู้น้อยถึงได้เข้าใจว่าแท้จริงแล้วปิ่นมุกกับผ้าเช็ดหน้านั่นต่างหากถึงเป็นสิ่งชี้ขาด”
“ปิ่นมุกกับ…ผ้าเช็ดหน้า?” พระชายาคังอ๋องสีหน้างุนงงยิ่งกว่า หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอยู่เป็นนานก่อนจะส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ สมัยอยู่เมืองหลวงในยามนั้นข้ากับพวกนางมิเคยไปมาหาสู่กัน ท่านอ๋องหรือก็หมายทำการใหญ่ หากจะบอกว่าองค์หญิงใหญ่กับท่านอ๋องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน นั่นก็อาจพอเป็นไปได้ ส่วนเฉิงซื่อนั้น…”
นางหยุดอยู่เพียงแค่นั้น ความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในคือเฉิงซื่อเป็นบุตรีในอนุจวนฉางผิงป๋อ เป็นก็แค่สตรีชั้นต่ำ ไหนเลยจะมีโอกาสได้เข้าพบคังอ๋อง
“ข่าวนี้จริงเท็จเช่นไรก็มิรู้แน่ แต่ไม่ว่าเช่นไรมันก็หาได้เกี่ยวข้องกับพวกเราไม่ นอกจากนี้เรื่องนี้หรือก็จบสิ้นแล้ว คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ พระชายาหาต้องคิดมากไม่” เสิ่นจิ้งจือกล่าวเตือน
ไป๋เหล่าเฉวียนพอมีเงินอยู่ในมือในใจก็นึกยินดีอย่างยิ่งยวด เขาถ่มน้ำลายลงพื้นคราหนึ่ง กดเสียงเอ่ยปากชิงชัง “ฮ่องเต้สุนัขนั่นชั่วช้ายิ่งนัก ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นแผนขโมยร้องจับขโมย ทั้งหมดล้วนแต่แผนการที่เขาวางไว้ ผ้าเช็ดหน้าปิ่นมุกอะไรนั่นเป็นก็แค่ข้ออ้างที่เอาไว้ใช้สังหารคน”
คนผู้นี้แม้จะหยาบกระด้าง แต่ก็ละเอียดรอบคอบ คำพูดนี้นับว่ากล่าวได้ถูกต้องแม่นยำยิ่ง
พระชายาคังอ๋องกับเสิ่นจิ้งจือเองก็คิดเช่นนี้ เพียงแต่เรื่องนี้ไม่ว่าเช่นไรก็อดทำคนนึกประหลาดใจไม่ได้ ไม่คล้ายเป็นวิธีการของฮ่องเต้หยวนจยา
ทว่าเรื่องนี้หาใช่เรื่องใหญ่อันใดไม่ หลังจากครุ่นคิดกันอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาก็โยนเรื่องนี้ทิ้งออกจากหัว
เสิ่นจิ้งจือพูดออกมาอีกครั้ง “งานเลี้ยงวันนี้เฉินเซ่าก็มาด้วย”
พระชายาคังอ๋องสีหน้าชะงักงันขึ้นมาทันที “เขาจำท่านได้หรือไม่”
“พระชายาได้โปรดวางใจ เขาจำผู้น้อยมิได้” เสิ่นจิ้งจือกล่าว นัยน์ตาดุดันดั่งอสรพิษนั่นส่องประกายเย็นเยียบ “ตอนดื่มสุราผู้น้อยจงใจเดินผ่านหน้าเขาไปมาสองครั้ง แต่เขาก็มิได้มีท่าทีอันใด ด้วยเหตุนี้ผู้น้อยถึงได้กล้านัดคนผู้นั้น ต่อมาเขาพาบ่าวเดินเล่นไปทั่ว ผู้น้อยพบเจอเขาครั้งสุดท้ายตอนเขากำลังชมทัศนียภาพอยู่ที่ริมสระ ข้างกายมีบ่าวรับใช้เพียงผู้เดียวเท่านั้น หามีผู้อื่นอันใดไม่”
เขาหรี่ตาสีหน้าเย็นชา “คนผู้นี้ไม่มีค่าให้ต้องวิตกกังวล ฮ่องเต้สุนัขจนถึงตอนนี้ก็หาได้ไว้วางใจอันใดเขาไม่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาไหนเลยจะก่อคลื่นลมอันใดได้”
“เช่นนั้นก็ดี” พระชายาคังอ๋องถอนหายใจโล่งอก หลังจากนั้นก็ถอนหายใจแผ่วเบาออกมาอีกครา “เพียงแต่เรื่องนี้ลำบากท่านแม่ทัพแล้วจริงๆ จากเดิมที่เป็นแม่ทัพผู้องอาจอันดับหนึ่ง ยามนี้กลับต้องลดฐานะซ่อนเร้นกายอยู่ในจวนผู้อื่น แม้แต่จะพบเจอผู้คนก็ยังต้องระแวดระวังตนเยี่ยงนี้”
นางก้มหน้า ถึงจะมิได้หลั่งน้ำตา ทว่าน้ำเสียงก็ตำหนิติติงตนเองมิใช่น้อย “นี่ล้วนเพราะข้าไม่เอาไหน นายท่านของพวกท่านในเวลานั้น…อันที่จริงได้มีการเตรียมการไว้ให้พวกท่านแล้ว ยามนี้กลับทำได้เพียง…”
นางคล้ายไม่อาจพูดต่อ ยกแขนเสื้อขึ้นปิดบังใบหน้า ไม่พูดอันใดอีก
“นี่เป็นภาระหน้าที่ของผู้น้อย ผู้น้อยยินดีกระทำ” เสิ่นจิ้งจือพูดเคร่งขรึม สายตาอบอุ่นอ่อนโยนยากจะพบเห็นปรากฏอยู่ในดวงตาเยี่ยงอสรพิษคู่นั้น
พระชายาคังอ๋องลดแขนเสื้อลง ดวงตาวับวาวเป็นประกายช้อนขึ้นน้อยๆ ยิ้มให้กับอีกฝ่าย ก่อนจะหันไปทางไป๋เหล่าเฉวียน ใบหน้ายิ้มแย้ม รอยแผลบนใบหน้ายิ่งแลดูชวนประหวั่น
“แม่ทัพไป๋เป็นผู้รักอิสระ วาจาเกรงอกเกรงใจเหล่านั้นข้าคงไม่กล่าวกับท่านแล้ว” นางกล่าว น้ำเสียงแม้จะไม่สูง ทว่าทุกถ้อยคำที่เปล่งออกมากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง หลังจากนั้นนางก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เช่นเดียวกัน ช่วยข้าจับตาดูคนผู้นั้นด้วย หากมีอันใดผิดปกติสามารถสังหารเขาได้ก่อนแล้วค่อยรายงานข้าทีหลัง”
ไป๋เหล่าเฉวียนฉีกปากยิ้ม ถึงจะมิกล้าออกเสียง แต่ดวงตาแดงก่ำกระหายเลือดครั้นขับดุนอยู่กับฟันเหลืองเต็มปาก มือเล็กขาสั้นรวมเข้ากับท่าทีแปลกประหลาดเหี้ยมโหดนั้น ทำให้เขาแลดูน่าขันอยู่หลายส่วน
ระหว่างที่ฉีกปากยิ้มกว้างนั้นจู่ๆ เขาก็พลิกข้อมือ มีดสั้นยาวประมาณฉื่อกว่าก็ปรากฏอยู่ในกำมือ
เสิ่นจิ้งจือนัยน์ตาเป็นประกาย ร่างกายขยับไปทางด้านข้าง คล้ายตั้งใจไม่ตั้งใจบังขวางพระชายาคังอ๋องไว้ทางด้านหลัง
ดวงตาที่มองมาทางไป๋เหล่าเฉวียนของเขาในยามนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกระแวดระวัง
ไป๋เหล่าเฉวียนกลับคล้ายไม่รับรู้ เขาทำเพียงยกด้ามมีดขึ้น แลบลิ้นออกมาเลียคมมีดวับวาวเย็นเยียบนั้น พูดพลางหัวเราะ “ฮ่าๆ เยี่ยม ข้าชอบแทงคนยิ่งนัก”
เสียงยังไม่ทันสิ้น จู่ๆ เขาก็เงยหน้า สายตาโหดเหี้ยมคมกริบกวาดมองมาทางเสิ่นจิ้งจืออย่างรวดเร็ว
เสิ่นจิ้งจือสีหน้าเย็นชา กลิ่นอายสังหารพวยพุ่ง นัยน์ตาเยี่ยงอสรพิษคล้ายมีเปลวเพลิงแดงฉานลุกโชน ตาดำตั้งตรงแลดูแปลกประหลาดชวนประหวั่น
นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ พลังบนร่างของไป๋เหล่าเฉวียนก็สลายไปดื้อๆ อีกทั้งยังยิ้มมาทางเขา
ไป๋เหล่าเฉวียนกระโดดลงจากเก้าอี้เตี้ย ประสานมือแสดงคารวะท่าทีถูกต้องตามธรรมเนียม “ผู้น้อยรับบัญชา”
“ดี” พระชายาคังอ๋องคล้ายไม่รับรู้กับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ นางอมยิ้มพยักหน้าพลางเอ่ยวาจากระตือรือร้น “เวลาไม่เช้าแล้ว แม่ทัพไป๋เดินทางมาแต่ละครั้งหาใช่เรื่องง่ายไม่ เช่นนั้นท่านก็กลับไปก่อนเถิด”
“ขอรับพระชายา” ไป๋เหล่าเฉวียนตอบรับคล่องแคล่ว ก่อนจะเหลือกตาเอ่ยวาจาน้ำเสียงแปลกประหลาด “แม่ทัพเสิ่น เช่นนั้นข้าก็ต้องขอตัวก่อน”
ยังไม่ทันที่เสิ่นจิ้งจือจะได้ตอบอันใดเขาก็เดินไปถึงห้องข้างฝั่งตะวันตกแล้ว เพียงไม่นานเสียงผ้าเสียดสีก็ดังขึ้น เห็นได้ชัดว่ากำลังสวมเท้าปลอมอยู่
เสิ่นจิ้งจือนั่งสงบนิ่ง สีหน้าราบเรียบไม่มีอันใดผิดปกติ
พระชายาคังอ๋องแอบกวาดตามองเขาคราหนึ่ง สีหน้าสงบนิ่ง
นางรู้ว่าพวกเขาสองคนไม่ถูกกัน แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เคยถามและไม่เคยยื่นมือเข้าไปสอด
หากมิใช่เช่นนี้นางไหนเลยจะควบคุมสมดุลของคนโฉดทั้งสองได้ หากพวกเขาสองคนเป็นมิตรสหายต่อกัน เช่นนั้นแล้วเบื้องบนเช่นนางไหนเลยจะนอนหลับได้
ไป๋เหล่าเฉวียนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ตอนออกจากห้องรูปร่างกลายกลับเป็นสูงกว่าเดิม ประเมินจากสายตาแล้วเหมือนจะสูงกว่าเสิ่นจิ้งจือเสียอีก
พระชายาคังอ๋องเอ่ยปากให้กำลังใจเขาสองสามประโยค ก่อนจะส่งเขาออกนอกประตูไปด้วยตนเอง
หิมะกำลังตกหนัก สาดซัดเข้ามาในระเบียงทางเดิน หล่นอยู่เหนือบันไดหิน ทันทีที่ย่ำเท้าขึ้นไปบนทางเดินหินเขียวคราม รอยเท้าก็ปรากฏขึ้นบนหิมะที่กองทับถมกันหนาๆ ทันที
เพียงไม่นานพื้นหิมะนั่นก็มีรอยเท้าแปลกประหลาดเกิดขึ้นสองแนว ตรงไปที่นอกลาน ประตูไม้ซอมซ่อปิดงับอยู่หลวมๆ หิมะโปรยปรายไร้สรรพเสียง ลานเรือนกลับสู่ความเงียบงันอีกครั้ง