ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 675-677
บทที่ 677 ไม่มีผู้ใดเชื่อถือไว้วางใจได้
พระชายาคังอ๋องปิดประตูห้องก่อนจะกลับมานั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง นางยื่นมือลูบใบหน้า
ทันใดนั้นรอยแผลเป็นนั่นก็จางหาย ที่ปรากฏอยู่ใต้เทียนสีแดงคือใบหน้างดงามราวกับภาพวาด ผิวพรรณชุ่มชื้นขาวสล้าง แม้แต่สายตาเยี่ยงผู้ที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ครั้นส่องสะท้อนอยู่กับแสงเทียนก็ล้วนกลับกลายเป็นนุ่มนวล
“แม่ทัพเสิ่น ท่านคิดว่าเขา…คนผู้นั้น…ยามนี้ยังเชื่อถือได้หรือไม่” นางมองดูเสิ่นจิ้งจือ ดวงตางดงามวับวาวเป็นประกาย
‘เขา’ ที่นางพูดถึงในยามนี้คือผู้ใด พวกเขาสองคนล้วนรู้ดีแก่ใจ
เสิ่นจิ้งจือก้มหน้า ไหนเลยจะกล้าสบตากับอีกฝ่าย เขาตอบเสียงขรึมว่า “พระชายาได้โปรดวางใจ คนผู้นี้ขี้ขลาดตาขาว ขอเพียงขู่เขาสักเล็กน้อย เขาไหนเลยจะกล้าทำอันใด ผู้น้อยวันนี้ได้ขู่เขาไปแล้ว เชื่อว่าอย่างน้อยช่วงนี้เขาย่อมทำตัวว่านอนสอนง่าย”
ริมฝีปากของเขายกยิ้ม ความรู้สึกเย้ยหยันปรากฏอยู่บนใบหน้าอึมครึมเย็นชานั้น “นับแต่รับพระชายาไว้ เขาก็นั่งอยู่บนเรือลำเดียวกับพวกเราแล้ว ยามนี้หากคิดจะไป ไหนเลยจะง่ายดายเยี่ยงนั้น หากพ้นจากเรือไป เขาย่อมไม่แคล้วต้องเผชิญหน้ากับพายุฝนฟ้าคะนอง เช่นนี้แล้วเขายังจะไปที่ใดได้อีก”
พระชายาคังอ๋องแม้จะเข้าใจถึงเหตุผลนี้ดี แต่สีหน้าวิตกกังวลก็ยังคงไม่ลดน้อยถอยลง นางขมวดคิ้ว “ถึงจะพูดเช่นนี้แต่ข้าก็ยังคงมิอาจวางใจ ท่านเองก็รู้ พวกหลี่เอ๋อร์ล้วนมีเขาคอยดูแลจัดการ เดิมข้าก็ยังพอวางใจอยู่ แต่หลังเกิดคดีองค์หญิงใหญ่ ข้าก็ตกใจจนไม่กล้าโผล่หน้าออกไปที่ใด หากเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเกรงว่าจะหวังพึ่งพาเขามิได้”
ยิ่งพูดหว่างคิ้วของนางก็ยิ่งขมวดเข้าหากันแน่น ความรู้สึกวิตกกังวลปรากฏชัดอยู่ในคำพูด
เสิ่นจิ้งจือพอได้ยินเช่นนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ เขาถามเสียงแผ่ว “ในเมื่อพระชายากล่าวเช่นนี้ ผู้น้อยก็ใคร่ขอถาม พวกจวิ้นอ๋องน้อยยามนี้อยู่ที่ใด”
เรื่องนี้พระชายาคังอ๋องพูดถึงน้อยมาก โอกาสที่พวกเขาจะได้พบหน้ากันเดิมหรือก็น้อยยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้หลายปีมานี้จวิ้นอ๋องน้อยกับจวิ้นจู่น้อยอยู่ที่ใด เขากับไป๋เหล่าเฉวียนจึงต่างไม่รู้
พระชายาคังอ๋องจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเขา ก่อนจะหลุบตาลงน้อยๆ ขนตายาวๆ สะท้านไหวคล้ายนึกลังเล
ก่อนหน้านี้…อันที่จริงมิสู้บอกว่าเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน นางยังคงวางใจคนผู้นั้น เหตุผลที่วางใจก็ด้วยเพราะคนผู้นั้นขี้ขลาด
สิบกว่าปีมานี้เพราะเขาขี้ขลาด พวกนางถึงมีชีวิตสงบสุขมาถึงยามนี้
ทว่าเมื่อครู่ตอนเห็นภาษีจากซานตง ผนวกกับสภาพของจวนองค์หญิงใหญ่กับจวนซิงจี้ป๋อหลังคิดก่อการกบฏ จู่ๆ นางก็รู้สึกไม่สบายใจ
ความรู้สึกไม่สบายใจนี้เกิดขึ้นกะทันหัน ครั้นเกิดขึ้นแล้วมันก็หยั่งรากฝังลึกลงไปในก้นบึ้งของหัวใจ ความรู้สึกสงสัย กระวนกระวาย วิตกกังวลทยอยเกิดขึ้นไม่หยุด ไม่ต่างอันใดกับเถาวัลย์ยามวสันต์ เลื้อยลามไปทั่วทุกแห่งหนมิอาจควบคุม
หากว่ากันโดยละเอียด ความรู้สึกไม่ไว้วางใจของนางนี้ก็มาจากเหตุผลเดียวกันคือความขี้ขลาดของคนผู้นั้น
หากเกิดการเปลี่ยนแปลงอันใด ด้วยนิสัยขี้ขลาดตาขาวของคนผู้นั้น เพื่อปกป้องตนเอง ไม่แน่ว่าเขาอาจใช้ชีวิตของพวกนางเป็นเดิมพัน วางแผนเอาตัวรอด
และเดิมพันที่สำคัญที่สุดนอกจากบุตรและธิดาของนางแล้ว ยังจะมีอื่นใดอีก
ยามนั้นคนผู้นั้นทุ่มเทอย่างสุดกำลังส่งบุตรธิดาของนางออกไปข้างนอก ที่แท้แล้วเพื่อปกป้องหรือหมายยึดเดิมพันไว้ในอุ้งมือก่อนล่วงหน้ากันแน่
เมื่อคิดถึงจุดนี้พระชายาคังอ๋องก็นั่งไม่ติดเก้าอี้ จิตใจสับสนวุ่นวายถึงขีดสุด
ที่แท้เขาก็ไม่ไว้วางใจนาง เช่นเดียวกับที่นางไม่ไว้วางใจเขา
อันที่จริงไม่ว่าจะเสิ่นจิ้งจือหรือไป๋เหล่าเฉวียน ทุกคนนางล้วนไม่ไว้วางใจ
แต่ว่าทอดสายตามองไปทั่วทั้งแผ่นดินต้าฉู่ คนที่อยู่ข้างกายนางยามนี้เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงคนที่นางสามารถไว้วางใจได้ แค่คนที่พอพูดคุยด้วยได้ก็หามีสักกี่คนไม่
ทันใดนั้นความรู้สึกเศร้ารันทดขมขื่นก็เอ่อท้นขึ้นในใจนาง ปลายจมูกของนางฟุดฟิด ขอบตาแดงระเรื่อขึ้นมาอีกคราว
ทว่านางรู้ว่านางไม่อาจลังเลได้นานนัก จำเป็นต้องตัดสินใจทันที
นางรู้สึกสังหรณ์ใจว่าหากยามนี้ยังไม่ตัดสินใจ นางต้องนึกเสียใจแน่
พระชายาคังอ๋องตัดสินใจแน่วแน่ นางเงยหน้าขึ้นช้าๆ สองตาที่มองไปทางเสิ่นจิ้งจือวับวาวเป็นประกายคล้ายเอ่อท้นไปด้วยน้ำตา คล้ายอยากพูดแต่กลับหยุดไว้เท่านั้น
เสิ่นจิ้งจือมองดูนางปราดหนึ่ง ในใจเต้นระส่ำ เขารีบก้มหน้าก้มตา ไม่กล้าพูดอันใด
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงถอนหายใจยาวๆ เชื่องช้าก็ดังลอยเข้าหู
“เอาล่ะ จนถึงยามนี้คนที่ข้าพอหวังพึ่งได้ก็คงมีแต่ท่านแล้ว ทั่วหล้านี้คนที่ยินดีช่วยข้าด้วยใจแท้จริงคงมีเพียงแม่ทัพเสิ่นผู้เดียวเท่านั้น” เส้นเสียงอ่อนโยนฝากแฝงไว้ซึ่งน้ำเสียงโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งพิง คล้ายขนนกที่ถูกทิ้งไว้กลางสายลม อ่อนนุ่มแผ่วเบา หล่นร่วงลงกลางใจ
เสิ่นจิ้งจือเนื้อตัวหนาวสะท้าน รู้สึกมือเท้าหัวใจชาสิ้น เขารู้ว่าพระชายาคังอ๋องงดงาม แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าสตรีที่ปกติกระทำการใดล้วนตรงไปตรงมา ยามอ่อนโยนจะงดงามเปี่ยมเสน่ห์ชวนหวั่นไหวเยี่ยงนี้
มิน่าคนผู้นั้นถึงได้หลงใหลหัวปักหัวปำเช่นนี้ ที่แท้…
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ปรามตนเองมิให้คิดต่อ
ที่พวกเขายามนี้ยังสามารถประคองตัวรักษาชีวิตรอดได้นั่นก็ด้วยเพราะพระชายาสละตนเองอยู่เบื้องหน้า ส่วนแม่ทัพใหญ่อย่างพวกเขาแทนที่จะละอายใจที่ตนเองไร้ความสามารถกลับตำหนิสตรีที่ไร้ที่พึ่งพิง นี่หาใช่การกระทำของผู้กล้าไม่
เขานึกละอายใจ ขยับอาภรณ์ลุกขึ้นยืน คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น “ขอเพียงพระชายามีคำสั่ง ผู้น้อยยินดีบุกน้ำลุยไฟ แม้ตายก็ไม่ปฏิเสธ”
พระชายาคังอ๋องสายตาปลาบปลื้ม ดวงตาวับวาวเป็นประกายคล้ายธารวสันต์เขียวขจี ธารสารทใสกระจ่าง งดงามยากเกินบรรยาย “ยามนี้ข้าคงต้องฝากพวกหลี่เอ๋อร์ไว้กับแม่ทัพเสิ่นแล้ว”
ขณะกำลังพูดนางก็ก้าวเท้าขึ้นหน้าช้าๆ พยุงเสิ่นจิ้งจือให้ลุกขึ้นด้วยตนเอง
บางทีอาจเพราะตื่นเต้นเกินไป ตอนพยุงเขาปลายนิ้วของนางถึงได้สั่นสะท้านอยู่น้อยๆ ทันทีที่แตะถูกแขนทั้งสองข้างของเสิ่นจิ้งจือ แขนของเขาก็ราวกับลุกติดไฟก่อนจะลามไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว
เขาไม่วายกลืนน้ำลาย ลำคอแห้งผาก มือเท้าชาด้านเป็นเท่าทวี
เสิ่นจิ้งจือจิตใจหวั่นไหว เหม่อลอยไม่เป็นตัวของตนเอง ครั้นตั้งสติได้ สตรีรูปโฉมงดงามไม่มีผู้ใดเทียบเทียมนางนั้นก็จากไปก่อนแล้ว ยามนี้กำลังนั่งตัวตรงอยู่ข้างโต๊ะ มือเรียวนั้นกำลังจับพู่กันสะบัดน้ำหมึกเขียนอะไรบางอย่าง
ภายใต้แสงเทียนสีแดง ที่ปรากฏอยู่บนผนังสีขาวราวกับหิมะคือเงาด้านข้างงดงาม สายตาของโฉมสะคราญผู้นั้นกำลังจับจ้องอยู่ที่กระดาษกับปลายพู่กัน สีหน้าสงบนิ่งใบหน้างามสง่า ทั้งหมดทั้งมวลล้วนจับตายิ่งนัก
ทันใดนั้นเสิ่นจิ้งจือก็นึกดูแคลนตนเอง สองตาหม่นหมอง เขาก้มหน้าลงอีกครั้ง
“ข้าได้เขียนบอกสถานที่ที่พวกหลี่เอ๋อร์ไปพำนักอยู่ในยามนี้แล้ว รวมถึงเรื่องราวต่างๆ ยังมีจดหมายที่ข้าเขียนถึงหลี่เอ๋อร์อีกฉบับ ในจดหมายมีรหัสลับที่ข้าตกลงกับเขาไว้ก่อนหน้า เมื่อเห็นมันเขาก็จะรู้จริงเท็จได้ทันที ถึงตอนนั้นเขาย่อมยินดีตามท่านไป” นางเขียนจดหมายอย่างรวดเร็ว ก่อนจะวางพู่กันลง ริมฝีปากแดงระเรื่อเป่ารอยน้ำหมึกบนกระดาษ
เสิ่นจิ้งจือก้มหน้ามาโดยตลอด แต่ด้วยวรยุทธ์ของเขา ต่อให้ไม่มอง แค่ฟังเสียงลมเขาก็นึกคิดถึงท่าทางของนางในยามนี้ได้
การนึกคิดเองเช่นนี้ชวนให้คนเคลิบเคลิ้มหลงใหลได้ยิ่งกว่าเห็นด้วยตาเสียอีก หากมิใช่เพราะจิตใจที่แน่วแน่กว่าคนธรรมดาทั่วไป ทำให้สามารถยืนหยัดรักษาจรรยาบรรณนายบ่าวไว้ได้ เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองจะทำอะไรลงไปบ้าง
พระชายาคังอ๋องสายตาจับจ้องอยู่บนกระดาษเขียนจดหมาย คล้ายใจจดใจจ่อ ทว่าหางตากลับหยุดอยู่บนตัวเสิ่นจิ้งจือ พอเห็นสภาพเช่นนั้นของอีกฝ่าย นางก็มั่นใจว่าความรู้สึกของนางนั้นไม่ผิดจริงๆ
นางรู้ ยิ่งเป็นคนที่ท่วงท่าภูมิฐาน ตัณหาราคะในกระดูกก็ยิ่งมาก
บุรุษบนโลกนี้แต่ละคนล้วนยากผ่านด่านโฉมสะคราญ
นางลอบส่ายหน้ายิ้มหยัน ทว่าใบหน้ากลับเรียบเฉย นางวางจดหมายลงอย่างรวดเร็ว สีหน้ากลับกลายเป็นเคร่งขรึมจริงจัง
ก็เหมือนอย่างที่ว่ามากไปน้อยไปล้วนไม่ดี เวลานี้นางก็แค่หยั่งเชิงเท่านั้น ในเมื่อเสิ่นจิ้งจือมีใจ เช่นนั้นเรื่องนี้ก็เท่ากับสำเร็จไปกว่าครึ่งแล้ว ที่เหลืออีกครึ่งคงได้แต่ต้องดูประสงค์แห่งฟ้าแล้ว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 มิ.ย. 66 เวลา 12.00 น.