ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 678-680
บทที่ 680 การแสดงจบผู้คนแยกย้าย
บุรุษที่เดินอยู่ทางด้านหน้าไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทางด้านหลังแม้แต่น้อย และยิ่งไม่เห็นรอยยิ้มเย้ยหยันของพระชายาคังอ๋อง
มือของเขายามนี้วางอยู่บนประตูไม้ แค่ออกแรงเพียงน้อยก็สามารถผลักประตูเดินเข้าไปด้านในได้
ทว่าในตอนนั้นเองจู่ๆ ทุกอย่างก็หยุดนิ่ง
มือของเขาวางอยู่บนประตูไม้ แต่กลับไม่ออกแรงผลัก ไม่แม้แต่จะหันร่างกลับมา ทำเพียงยืนหันหลังให้พระชายาคังอ๋อง เงาไม้บดบังใบหน้าไม่อาจเห็นถึงอารมณ์ความรู้สึกอันใด
เขายืนอยู่เช่นนั้นคล้ายถูกคนสกัดจุดไม่อาจเคลื่อนไหว
พระชายาคังอ๋องอยู่ห่างจากเขาไปทางด้านหลังสองสามก้าว ยามนี้นางเองก็ชะงักเท้าลงเช่นกัน สีหน้าเคลือบแคลงสงสัย หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งนางก็อ้าปากหมายกล่าวอะไรบางอย่าง
นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายกลับชิงเปิดปากขึ้นก่อน
“พระชายา หลายปีมานี้ข้านับว่าปฏิบัติต่อท่านไม่เลว” เขากล่าวพลางชักมือกลับ ยืนกุมหมัดแน่น เงาร่างสูงใหญ่ครึ่งหนึ่งอาบอยู่ใต้แสงจันทร์ครึ่งหนึ่งซ่อนอยู่ใต้เงาไม้แลดูเย็นชาอยู่หลายส่วน
พระชายาคังอ๋องสีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กๆ
เสียงของชายผู้นั้นดังขึ้นอีก ท่ามกลางค่ำคืนเงียบเหงาฟังดูทุ้มต่ำอย่างบอกไม่ถูก “ข้าปฏิบัติต่อท่านด้วยใจจริง ไม่ว่าพระชายาจะคิด พูด หรือปรารถนาสิ่งใดข้าล้วนพยายามช่วยให้ท่านสามารถบรรลุความต้องการอย่างสุดความสามารถ พระชายาว่าใช่หรือไม่เล่า”
ดวงตาของพระชายาคังอ๋องเปล่งประกายวับวาว คำพูดที่ออกจากปากกลับอ่อนโยนคล่องแคล่ว ไม่มีทีท่าหวาดหวั่นแม้แต่น้อย “แน่นอนอยู่แล้ว หลายปีมานี้หากไม่มีนายท่านคอยสอดประสาน พวกเราแม่ม่ายลูกกำพร้าเกรงว่าคงตายไปนานแล้ว นายท่านเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิต ผู้น้อยชาตินี้ย่อมระลึกถึงน้ำใจของนายท่านไม่มีวันลืม”
“เอ๋?” เขาย้อนถาม ลากหางเสียงยาวเหยียดแฝงไว้ซึ่งน้ำเสียงเย้ยหยันรุนแรง กลิ่นอายบนร่างจู่ๆ ก็กลับกลายเป็นหนาวสะท้าน
“ในเมื่อข้าเป็นผู้มีพระคุณ เช่นนั้นในสายตาของพระชายาคงไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ที่คิดจะฆ่าก็ฆ่ากระมัง” เขาเอ่ยปากเน้นทุกถ้อยคำก่อนจะหันกลับมาช้าๆ ใบหน้าที่แลดูธรรมดาๆ นั้นไม่ทั้งทุกข์ไม่ทั้งสุข ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความรู้สึกลุ่มหลงหัวปักหัวปำก่อนหน้านี้ ทั้งหมดเป็นก็แค่การแสดงฉากหนึ่งเท่านั้น
เขาเล่นละคร ส่วนนางก็สมัครใจร่วมเล่นเป็นเพื่อน
ทว่าละครที่เล่นมาสิบกว่าปีนี้ ยามนี้ถึงคราแยกย้ายแล้ว
เขาส่งเสียงหัวเราะแผ่วเบา เสียงหัวเราะนี้เย็นยะเยือกเสียดกระดูกไม่คล้ายเสียงคน
ชายหน้าตาธรรมดาๆ ผู้นี้ยามนี้แลดูเปล่าเปลี่ยวอยู่หลายส่วน
ทว่านั่นก็แค่เรื่องประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น
แค่ชั่วระยะเวลาเพียงอึดใจ เสียงหัวเราะนั่นก็หยุดลง เสียงพูดดังขึ้นอีกครั้ง
“หรือบางทีด้วยเพราะพระชายารักข้าล้ำลึก ก่อนจากไปจึงจำเป็นต้องแทงข้าสักหน่อยก่อน ตอบแทนมิตรภาพตลอดหลายปีมานี้ของพวกเรา” เขาสะบัดแขนเสื้อ ภายใต้แสงจันทร์สาดส่อง กุ๊นขอบสีเงินบริเวณปลายแขนส่องประกายระยิบระยับ แลดูไม่ต่างอันใดกับระลอกน้ำกระเพื่อมไหวสับสน
เขาในยามนี้สุขุม สงบนิ่ง ไม่รีบไม่ร้อน
ใบหน้าของพระชายาคังอ๋องกลับกลายเป็นซีดเผือดอย่างรวดเร็ว นางตะลึงมองดูเขา หลังจากผ่านไปสองสามอึดใจ จู่ๆ ร่างกายของนางก็ค่อยๆ ผ่อนคลาย
“ที่แท้ท่านก็รู้อยู่แต่แรกแล้ว” นางยิ้มส่ายหน้าคล้ายเย้ยหยันตนเองคล้ายดูแคลน คิ้วเลิกขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์ชื่นชอบสนุกสนาน “ท่านรู้ได้เช่นไร”
“พระชายาตอบคำถามข้าก่อนแล้วค่อยว่ากันดีกว่า” ชายคนดังกล่าวไม่สนใจนาง สายตาที่มองมานั้นเย็นชาไม่ต่างอะไรกับเสียงพูดของเขา
“เจ้าต้องการฆ่าข้าใช่หรือไม่”
“ถูกแล้ว” พระชายาคังอ๋องแย้มยิ้มงดงาม ใบหน้าของนางอาบไล้อยู่ใต้แสงจันทร์ ขาวสล้างไร้ตำหนิ แต่กลับเย็นชาดั่งฉาบไว้ด้วยเกล็ดน้ำแข็ง
“หากไม่มีใจข้าย่อมขอเลิกรา ในเมื่อนายท่านมีใจเป็นอื่น เช่นนั้นข้าก็ต้องชิงลงมือก่อน” นางเก็บรอยยิ้มและมองดูอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา “ยิ่งไปกว่านั้น นายท่านเองก็เตรียมทางหนีทีไล่ไว้เช่นกันไม่ใช่หรือไร”
“ข้าทำเช่นนั้นก็เพื่อป้องกันตัว!” ชายผู้นั้นระเบิดเสียงคล้ายสิ้นความอดทน แม้จะไม่ดังนักแต่ก็ยังคงเรียกว่าตวาดได้อยู่ “ข้าก็แค่เตรียมการเท่านั้น แต่เจ้ากลับคิดลงมือเอาชีวิตข้า”
“แต่ตอนนี้ท่านก็ยังไม่ตายมิใช่หรือไร” พระชายาคังอ๋องยกแขนเสื้อขึ้น สีหน้าแน่วแน่มุ่งมั่น “อีกอย่างทางหนีทีไล่ที่ท่านพูดถึงนั่นคือเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า นายท่านไม่รู้หรือไร”
จู่ๆ นางก็สีหน้าเคร่งขรึม สายตาคมกริบดั่งมีด “ท่านเอาพวกหลี่เอ๋อร์ไปซ่อนไว้ที่ใด ท่านกักตัวลูกของข้าไว้เพราะประสงค์สิ่งใดกันแน่ แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวท่านก็สมควรถูกฆ่าแล้ว”
“ก็เพราะเจ้าเป็นเช่นนี้ข้าถึงไม่อาจไม่ป้องกันตัว!” ชายคนดังกล่าวหน้าตาแดงก่ำ สองตาโกรธเกรี้ยวเดือดดาล “ดูท่าข้าคิดไม่ผิดจริงๆ หากข้าไม่รู้จักระแวดระวังป่านนี้ข้าคงตายไปนานแล้ว เจ้าอดทนพร่ำพูดอยู่กับข้าเช่นนี้ คงคิดล่อข้าเข้าไปในเรือนน้อย บีบบังคับให้ข้าพูด หลังจากนั้นค่อยฆ่าข้าปิดปากกระมัง! ที่เจ้ายอมให้ข้ามีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้มิใช่เพราะข้าเตรียมทางหนีทีไล่ไว้ก่อนหรือไร”
ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งเดือดดาล หูตาจมูกคิ้วคางแทบจะบิดเบี้ยวไปพร้อมกัน
พระชายาคังอ๋องจ้องเขาเขม็งคล้ายกำลังชื่นชมสีหน้าที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของอีกฝ่าย
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่นางก็หลุดหัวเราะออกมาคราหนึ่ง เอ่ยปากเกียจคร้าน “ช่างเถอะ ถกเถียงกันถึงเรื่องนี้ตอนนี้ออกจะเร็วเกินไปหน่อย ท่านตอบคำถามที่ข้าถามก่อนหน้านี้เถอะ ท่านรู้ได้เช่นไร”
ตอนพูดสีหน้าของนางสงบนิ่งราวกับรู้คำตอบอยู่ก่อนล่วงหน้าแล้ว
ชายคนดังกล่าวจ้องดูนางด้วยสายตาเดือดดาล ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นคล้ายตัดสินใจจะไม่เปิดปาก
ทั้งสองสบตากัน ฝ่ายหนึ่งเย็นฝ่ายหนึ่งร้อน ไม่มีใครยอมใคร ในอากาศราวกับจะได้ยินเสียงเผียะผะ
สุดท้ายพระชายาคังอ๋องก็ยิ้มขึ้นก่อน “เอาล่ะๆ ข้าพูดออกมาตรงๆ เลยก็แล้วกัน ไม่เสียเวลาพูดจาวกไปวนมากับท่านแล้ว ไป๋เหล่าเฉวียนเป็นคนบอกให้ท่านรู้ใช่หรือไม่” นางชักสายตากลับ ปัดเสื้อผ้าอาภรณ์แผ่วเบา ทว่าหางตากลับยังคงจับจ้องอยู่บนใบหน้าของอีกฝ่ายไม่เลิก
ชายผู้นั้นยังคงนิ่งเงียบ รูม่านตาหดลงเล็กน้อย
พระชายาคังอ๋องกับเขาร่วมเรียงเคียงหมอนมานานหลายปี ต่างฝ่ายต่างคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เห็นปุ๊บก็รู้ได้ทันที ไม่ผิดจากที่คาดไว้
ทันใดนั้นความรู้สึกโกรธขึ้งก็ถาโถมขึ้นภายในใจ นางใบหน้าเขียวคล้ำขึ้นมาทันที
ว่ากันตามหลักแล้ว นางไม่ควรนึกโกรธ
แต่ไหนแต่ไรเรื่องนี้ก็อยู่ในความคาดหมายของนาง
ไป๋เหล่าเฉวียนเป็นคนโลภโมโทสัน โหดเหี้ยมอำมหิต ไม่มีคุณธรรมสัจธรรมอันใดให้พูดถึง ก่อนหน้านี้เขาเป็นก็แค่คนที่ทำมาหากินอยู่ในยุทธภพเท่านั้น ต่อมาที่ยอมเข้ามาทำงานรับใช้นางก็ด้วยเพราะเห็นแก่ที่มีคนให้ฆ่ามีเงินให้ใช้ก็เท่านั้น
ยามนี้สถานการณ์ที่ซานตงไม่สู้ดีนัก พวกเขาเองก็ยากจะปกปักรักษาตัวได้ ไป๋เหล่าเฉวียนตีตัวออกหากนั่นก็เป็นไปตามนิสัยของเขา หามีอันใดนอกเหนือความคาดหมายไม่
เพียงแต่คำว่า ‘ไม่นอกเหนือความคาดหมาย’ กับ ‘พบเห็นเองกับตา’ นั้น ไม่ว่าเช่นไรก็ยังมีความต่าง พระชายาคังอ๋องสุดท้ายก็ไม่อาจระงับความรู้สึกโกรธขึ้งเอาไว้ได้
หลายปีมานี้นางใช้เงินไปกับไป๋เหล่าเฉวียนไม่ใช่น้อย ทว่าสุดท้ายเขากลับทำตัวเป็นสุนัขเลี้ยงไม่เชื่อง
หลังจากสูดหายใจเข้าออกลึกๆ อยู่สองสามที พ่นลมหายใจขุ่นข้องออกมา พระชายาคังอ๋องก็สีหน้าผ่อนคลายยิ้มแย้มเอ่ยปาก “อา ข้านึกอยู่แล้วเชียวว่าต้องเป็นเขา เหล่าไป๋ผู้นี้นั่งไม่ติดเก้าอี้จริงๆ ทว่า…”
นางชำเลืองตามองไปยังบุรุษผู้นั้นด้วยท่าทีงดงามพลางยกแขนเสื้อขึ้นปิดปากกล่าว “ทว่ารายหนึ่งคนถ่อย รายหนึ่งคนขลาด พวกท่านสองคนอยู่ด้วยกันจะว่าไปก็เหมาะสมกันยิ่งนัก”
“คำพูดของพระชายานี้ยกย่องผู้น้อยเหล่าไป๋เกินไปแล้ว” จู่ๆ น้ำเสียงดั่งฆ้องแตกก็ดังขึ้น เงาร่างผอมสูงพิลึกพิลั่นของไป๋เหล่าเฉวียนปรากฏขึ้นไม่ต่างอันใดกับภูตผี
แผนการเดิมของพระชายาคังอ๋องคือให้ไป๋เหล่าเฉวียนนำพาลูกน้องซุ่มซ่อนอยู่ในเรือนน้อย ทันทีที่อีกฝ่ายเข้าไปก็ให้ลงมือจับกุมตัวเขาไว้ ก่อนจะพาไปด้วยแล้วระหว่างทางค่อยๆ บีบบังคับสอบถามเขาถึงที่อยู่ของจวิ้นอ๋องน้อยกับจวิ้นจู่น้อย เสร็จแล้วค่อยฆ่าคนปิดปาก
ยามนี้ไป๋เหล่าเฉวียนกลับทรยศ คนที่ติดกับกลับเป็นพระชายาคังอ๋องเสียเอง
“ในที่สุดท่านก็โผล่หน้าออกมา ไฉนถึงไม่ปล่อยให้ข้าได้ทายต่ออีกสักครู่เล่า” พระชายาคังอ๋องมองดูไป๋เหล่าเฉวียน สีหน้ายังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ดวงตาวับวาวเรียวโค้งอยู่น้อยๆ
* ชาวจีนสมัยโบราณมีความเชื่อว่าในคืนสิ้นปีจะมีสัตว์ประหลาดชื่อว่า ‘เหนียน’ (แปลว่าปี) มาทำร้ายผู้คน จึงไม่ยอมนอนในคืนนี้เพื่อรอขับไล่ตัวเหนียนไป กลายเป็นธรรมเนียมการอยู่โต้รุ่งตลอดคืน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 มิ.ย. 66 เวลา 12.00 น.