ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 681-682
บทที่ 682 คนที่น่าขัน
“เหล่าไป๋ ไฉนเจ้าถึงได้เหมือนกับนายของเจ้าเยี่ยงนี้ ขี้ขลาดไม่ต่างอันใดกับไก่เลยแม้แต่น้อย” แม้จะถูกคนด่า แต่พระชายาคังอ๋องกลับไม่นึกแยแสใส่ใจ ใบหน้างดงามเย็นชายังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
“เจ้ากล้าเดิมพันกับข้าหรือไม่” นางขยับเท้าขึ้นหน้าครึ่งก้าวปรือตาเย้ายวน น้ำเสียงหรือก็เช่นกัน “ได้ยินว่าเจ้าชอบเดิมพันสูงต่ำ เงินในมือส่วนใหญ่ล้วนหมดไปกับการพนัน ยามนี้เหตุใดไม่ลองพนันดูเล่า พนันดูซิว่าข้าจะลงมือกับเจ้าหรือไม่ พนันดูซิว่าเสิ่นจิ้งจือจะปล่อยเจ้าหรือเปล่า พนันดูซิว่าเจ้าจะหานายใหม่ขายชีวิตให้เขาได้หรือไม่”
นางสะบัดแขนเสื้อช้าๆ คิ้วดำเลิกขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากแดงระเรื่อขยับ “หากไม่กล้า เช่นนั้นก็ทิ้งชีวิตของเจ้าไว้”
แค่คำพูดแผ่วเบาเพียงประโยค ครั้นลอยเข้าหูไป๋เหล่าเฉวียน ทุกตัวอักษรกลับไม่ต่างอันใดกับอสนีบาต ระเบิดจนหนังหัวเขาชาด้านหมดสิ้น
เขาหมอบต่ำ มีดกุมอยู่ในมือ ท่าทางคล้ายพร้อมจะออกอาวุธอยู่ทุกเมื่อ ทว่าปลายเท้ากลับขยับไหวน้อยๆ ยากจะสังเกตเห็น
เขานึกลังเล หรือบางทีอาจเข้าใจได้ว่าเขาอยากมีชีวิตรอด
แน่นอน หากว่ากันตามปณิธานเดิม เขาไม่ปรารถนาเป็นคนทรยศสองครั้งสองครา
ยุทธภพเองก็มีธรรมเนียมของยุทธภพ ทรยศหักหลังผู้เป็นนายย่อมมิใช่ชื่อเสียงดีงาม
หากแค่เพียงครั้ง ยังพอยกเรื่อง ‘ออกจากโลกมืดกลับเข้าสู่ทางสว่าง’ ขึ้นมากล่าวอ้างได้ ทว่าถ้ามีครั้งที่สอง ต่อให้ไป๋เหล่าเฉวียนไม่เคยนึกสนใจเรื่องพวกนั้น ไม่ว่าเช่นไรก็ต้องครุ่นคิดพิจารณาให้ถ้วนถี่
แต่ให้ใช้ชีวิตปกป้องผู้เป็นนาย เขาก็รู้สึกว่าทำเช่นนี้ออกจะขาดทุนเกินไปหน่อย
ยังไม่ทันได้เสวยสุขกับลาภยศสรรเสริญแต่กลับต้องมาเสี่ยงตายเสียก่อน หากรู้เช่นนี้เขาจะหักหลังผู้เป็นนายเพื่ออะไร ยอมเป็นแม่ทัพใหญ่เช่นเดิมไม่ดีกว่าหรือไร
ทรยศหรือว่าไม่ทรยศ
พนันหรือไม่พนัน
ไป๋เหล่าเฉวียนสายตาจ้องนิ่งไปที่เบื้องหน้า สีหน้าแววตาเหม่อลอย มือที่กุมมีดไว้บัดเดี๋ยวก็คลายบัดเดี๋ยวก็กุมกลับไปกลับมา ปลายจมูกเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อผุดพราย
“ฮ่าๆๆ” จู่ๆ เสียงหัวเราะแผ่วเบาก็ดังขึ้น เย็นเยียบทอดยาวไม่ต่างอันใดกับเสียงภูตผีร่ำไห้
ไป๋เหล่าเฉวียนสะดุ้ง
อย่าว่าแต่เขา ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั่นล้วนต่างตกใจ
คืนค่ำเงียบสงัด จู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะชวนสะพรึงดังลอยมาเช่นนี้ ใครเล่าจะไม่อกสั่นขวัญแขวน
มีเพียงพระชายาคังอ๋องเท่านั้นที่หน้าไม่เปลี่ยนสี
“ท่านหัวเราะอันใด” นางขมวดคิ้ว สายตาทอดมองไกลไปทางชายในอาภรณ์ผ้าดิ้น
เจ้าของเสียงหัวเราะที่แท้ก็คือเขานั่นเอง
“คำพูดของพระชายา ข้ามิอาจไม่ตอบ” ชายคนดังกล่าวเอ่ยปากคล้ายไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น เขาไพล่มือทั้งสองข้าง เดินออกมาหยุดอยู่หน้าขบวนช้าๆ ประจันหน้าอยู่กับพระชายาคังอ๋อง
พลังอำนาจบนร่างมิได้อ่อนด้อยไปกว่านาง
“ที่ข้าหัวเราะก็เพราะรู้สึกว่าคนต่ำทรามล้วนมีเรื่องให้ขบขัน” เขาพูดขึ้นอีกครั้ง รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
พระชายาคังอ๋องนึกประหวั่น
ชายที่อยู่ตรงหน้าจู่ๆ ก็คล้ายกลับกลายเป็นคนอีกผู้!
นางคล้ายไม่รู้จักเขา
ใบหน้าธรรมดาๆ คุ้นตานั้นรวมถึงดวงตาที่ร้างไร้ความรู้สึกนั่น ไม่รู้ด้วยเพราะเหตุใด ยามนี้ถึงได้ชวนขนลุกตั้งชัน นางรู้สึกเหมือนถูกสัตว์ร้ายจับจ้อง
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กุมแขนเสื้อไว้ในกำมือแน่น ช้อนตามองดูอีกฝ่าย
นางไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้มาก่อน สงบเยือกเย็น ไม่สะทกสะท้าน
นางถึงกับรู้สึกว่าเขาในยามนี้ต่างหากถึงจะเป็นตัวตนที่แท้จริง ส่วนชายขี้ขลาดลังเลไม่เด็ดขาดในอดีตผู้นั้นเป็นก็แค่ ‘หน้ากาก’ ของเขาเท่านั้น
เป็นหน้ากากที่ใช้หลอกลวงนางและทุกผู้คน
ฝ่ามือของพระชายาคังอ๋องเย็นยะเยือก
“พระชายาไม่รู้สึกตัวบ้างหรือไรว่าตนเองดีใจเร็วเกินไปหน่อย” ชายผู้นั้นเอ่ยปากขึ้นเป็นครั้งที่สาม สีหน้าสงบนิ่ง น้ำเสียงยิ่งเรียบเฉย
หลังจากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อ เอ่ยปากแผ่วเบาออกมาสองคำ “จัดการ”
ฟุ่บๆๆ
เสียงวัตถุแหลมๆ เล็กละเอียดดังแหวกอากาศ เพียงชั่วพริบตาลูกดอกเหล่านั้นก็ไม่ต่างอะไรกับฝูงตั๊กแตนมืดฟ้ามัวดิน พุ่งตรงเข้าใส่พวกไป๋เหล่าเฉวียน!
พระชายาคังอ๋องตกตะลึง
คนที่อยู่ด้านหลังนางก็ต่างพากันทำอะไรไม่ถูก
ลูกดอกพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เร็วเสียจนไม่มีใครได้ทันตั้งตัว ไม่ต่างอันใดกับฝนเหล็กเย็นเยียบมืดดำถาโถมเข้าใส่ฝูงชน
ฉึกๆๆ
เสียงลูกดอกแหลมๆ เสียบทะลุเนื้อดังอยู่ไม่ขาดสาย ทึบทว่ากระจ่างชัด
หน้าไม้!
พระชายาคังอ๋องรูม่านตาหดเล็กลงทันที ในที่สุดนางก็ตระหนักได้ถึงอันตราย รีบหันหลังกลับไปซ่อนตัวอยู่หลังกองกำลัง เหงื่อเย็นชุ่มโชกเต็มเสื้อ
ชายหนุ่มผู้นั้นยืนเอ้อระเหย แม้จะเห็นนางถอยออกไปแล้วแต่เขาก็ยังคงไม่ขยับ ทำเพียงไพล่มือยืนมองอยู่ไกลๆ ท่าทางอิ่มเอมใจ
แสงจันทร์ดั่งเกล็ดหิมะสาดส่องจับอยู่บนชายคาบันไดหิน ผืนน้ำที่อยู่ไกลออกไปดั่งคันฉ่อง สายน้ำใสกระจ่าง โคมไฟส่องสะท้อนอยู่เหนือผิวน้ำระยิบระยับไม่ต่างอันใดกับแสงดาว
คืนค่ำงดงาม สายลมเย็นสบาย พระจันทร์สุกสว่าง ทว่าบนทางเดินหินหน้าเรือนน้อยกลับเต็มไปด้วยศพเกลื่อนกลาด
ไป๋เหล่าเฉวียนที่เมื่อครู่ยังคุยโวโอ้อวดท่าทีเหมือนกุมสถานการณ์ทุกอย่างไว้ในกำมือ ยามนี้ร่างกลับพรุนไม่ต่างอันใดกับเม่น นอนตายอยู่กับพื้นไม่มีโอกาสแม้แต่จะร้องอันใดออกมาแม้แต่คำเดียว ส่วนคนของเขาก็ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตเช่นกัน
กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกสารทิศ ดุเดือดรุนแรง เลือดสีแดงฉานอุ่นร้อนหนาข้นถูกใช้ขับขานสรรเสริญต่อจันทร์กระจ่างเทศกาลโคมไฟ
“ยามนี้พระชายาคงรู้แล้วกระมังว่าเหตุใดข้าถึงได้หัวเราะ” ชายคนดังกล่าวยิ้มออกมาน้อยๆ ศพที่อยู่ทางด้านหลังเกลื่อนพื้น กลิ่นเลือดทะยานสู่ฟ้า ที่ขับดุนอยู่บนตัวเขาไม่ใช่ใบหน้ายิ้มระรื่นหล่อเหลางดงาม แต่เป็นความชั่วร้ายยากจะบรรยาย
พระชายาคังอ๋องใบหน้าซีดขาว สายตาตื่นตระหนกยากจะปิดบัง
นี่ไม่ใช่คนที่นางรู้จักผู้นั้น
ทว่าดวงตาทั้งคู่ รูปร่างนั่น น้ำเสียงที่เขาเปล่งออกมานางล้วนคุ้นเคยสนิทสนมยิ่ง
ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา คนผู้นี้เคยแนบเนื้อหนังอยู่กับนาง พลิกไปมาอยู่บนตั่งเตียง ฟังนางฉอเลาะออดอ้อน อาลัยอาวรณ์หลงใหลในตัวนาง
นางคุ้นเคยกับลมหายใจ สีหน้าท่าทาง รวมถึงความอบอุ่นอ่อนโยนยามออดอ้อน ล่วงรู้ถึงการเคลื่อนไหวเล็กๆ ตามความคุ้นชินของเขาเหล่านั้น
ยามนี้เขากำลังลูบสายรัดเอว นิ้วมือที่เปี่ยมด้วยพละกำลังนั่นกางออกหุบเข้าเหมือนอย่างที่นางคุ้นเคย
เขาเป็น ‘ชู้รัก’ ของนางมาเนิ่นนานหลายปี
ในบางแง่มุมเขาเองก็เป็นผู้ปกป้อง ใช้ฐานะต่ำต้อยแหงนเงยอ้อนวอนขอความเห็นอกเห็นใจจากนาง
ส่วนนางเองก็ใช้ร่างกาย ใช้ท่วงทีอ่อนโยนผิวเผินกับวิธีการลับๆ ล่อลวงเขา ให้เขายอมทำงานให้นาง
มีอยู่หลายต่อหลายครั้งที่นางเผลอมอบความจริงใจให้กับเขา
ยามที่เขาครุ่นคิดพิจารณาเพื่อลูกของนาง ยามเขาจัดการทำเรื่องต่างๆ ให้ นางคิดว่าความรู้สึกชอบที่นางมีให้กับเขากับความรู้สึกชื่นชอบที่เขามีต่อนางนั้นล้วนเหมือนกัน
ดังนั้นนางจึงหยิบยื่นสิ่งที่พอจะหยิบยื่นได้ออกมา ไม่ทำร้ายทำลายความอ่อนโยนเล็กๆ เหล่านั้น นางชอบเขา อาลัยอาวรณ์เขา ขณะเดียวกันก็ระแวดระวังในตัวเขา
ดวงตาของนางเบิกกว้าง เสียงที่ลั่นดังอยู่ข้างหูไม่ต่างอันใดกับภูเขาคำรามทะเลคลุ้มคลั่งกลบกลืนทุกอย่างจนหมดสิ้น
บางทีอันที่จริงนางอาจหวังอยู่เล็กๆ ว่าตนเองจะถูกความรู้สึกสับสนนี้ห่อหุ้ม ให้กาลเวลาทั้งหมดหยุดลงตรงนี้ ให้ทุกสิ่งอย่างหยุดอยู่ ณ ช่วงเวลาใกล้แจ้งแต่ยังไม่แจ้งนี้
ทว่าเสียงของเขากลับดังขึ้นอีกครั้ง
ราบเรียบไร้ความรู้สึก เขากล่าววาจาออกมาตรงๆ ราวกับที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเป็นก็แค่เพียงกระดาษโปร่งแสงแผ่นหนึ่ง ไม่อาจพลิกแพลงเป็นอื่น
“สีหน้าเช่นนี้ของพระชายา เป็นเพราะตกใจมากเกินไปหรือกำลังแสดงละครให้ข้าดูกันแน่ หรือพระชายาคิดว่าสตรีวัยกลางคนเช่นท่านจะสามารถล่มเมืองล่มแผ่นดินได้จริงๆ” ชายคนดังกล่าวเลิกคิ้วคล้ายกำลังยิ้ม สายตาที่ไม่อาจเรียกได้ว่าดุดันรุนแรงนั้นวิ่งผ่านฝูงชนก่อนจะไปหยุดอยู่บนตัวนางอย่างแม่นยำ
* เทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง หมายถึงคนที่ทำตัวลึกลับ ไม่เผยโฉมหน้าที่แท้จริง หรือว่าเห็นหน้าอยู่แวบเดียวก็หายไปแล้ว
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนมิถุนายน 66)