ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 7-9
บทที่ 7 มีเพียงคนเดียวเท่านั้น
“เหลวไหล!” ยังไม่ทันที่กัวย่วนจะได้พูดอะไร นางกำนัลที่อยู่ทางด้านหลังนางก็ชิงตวาดออกมาก่อน “นางเด็กไร้มารยาท หัดรู้จักสำรวมบ้าง”
นางกำนัลนางนั้นหน้าตานับว่างามไม่ใช่น้อย ทว่าสีหน้าท่าทางกลับเฉียบขาดยิ่ง นางสวมใส่อาภรณ์สีเขียว บนอกเสื้อมีผืนผ้าปักติดอยู่ ที่ปักอยู่ทางด้านบนคือนกสาลิกาตัวหนึ่ง ที่แท้นางก็เป็นแค่นางกำนัลระดับล่างทำงานจิปาถะนางหนึ่งเท่านั้น
ถึงจะไม่มีระดับชั้น แต่อย่างไรก็เป็นนางกำนัลในวัง มิอาจดูแคลน
เฉินอิ๋งกลับไม่ได้สนใจอีกฝ่าย นัยน์ตาใสกระจ่างคู่นั้นยังคงจับจ้องอยู่บนตัวกัวย่วน นางเอียงคอน้อยๆ “หรือว่ามิใช่”
กัวย่วนยิ้มหยัน “น่าขัน ราชนิกุลที่เข้าออกจวนเจิ้นหย่วนโหวใช่ว่ามีเพียงข้าผู้เดียวเสียเมื่อไร หรือจะบอกว่าขอเพียงเป็นของที่วังหลวงจัดทำขึ้น ทั้งหมดล้วนมาจากข้า คำพูดเยี่ยงนี้ไม่ไร้เหตุผลไปหน่อยหรือไร”
เฉินอิ๋งยิ้มมุมปาก นางยื่นมือออกมา แผ่นกระดาษถูกดึงออกจากแขนเสื้อเฉินอิ๋งเป็นครั้งที่สาม คราวนี้ที่ถูกดึงออกมาเป็นกระดาษสองแผ่น นางหยิบเอาแผ่นหนึ่งวางทับลงบนคำให้การของโจวมามา ยกมันขึ้นเหนือศีรษะเหมือนก่อนหน้านี้เพื่อให้ทุกคนสามารถเห็นตัวหนังสือกับรอยประทับนิ้วที่อยู่ทางด้านบนชัดแจ้งพลางพูดเสียงดังฟังชัดว่า “ในมือข้ายังมีคำให้การอีกฉบับ คนที่ให้การคือบ่าวในจวนเจิ้นหย่วนโหว ได้แก่ เสี่ยวหง เสี่ยวชุ่ย หลิ่วมามา รวมถึงหม่าต้าซานจยา พวกเขาล้วนประทับรอยนิ้วมือไว้”
ขณะกำลังพูดนางก็มอบกระดาษพวกนั้นให้กู้หนานพร้อมยิ้มมุมปาก “ด้านบนระบุรายละเอียดเกี่ยวกับอายุและลักษณะเด่นของพยานทั้งสี่ไว้ ข้าได้ให้ทุกคนประทับลายนิ้วมือไว้แล้ว เชิญคุณหนูรองตรวจสอบ”
กู้หนานตัดสินใจไม่ช่วยเหลือฝ่ายใดทั้งสิ้น ไม่ว่าใครถามนางอะไร ขอเพียงเป็นความจริงนางล้วนยอมรับ หากไม่ใช่เรื่องจริงนางย่อมไม่อาจกล่าววาจาเหลวไหล
ดังนั้นหลังจากก้มหน้าอ่านดูเนื้อความบนกระดาษโดยละเอียดครู่หนึ่งนางก็ฝืนยิ้มให้เฉินอิ๋ง “ไม่ผิด คนทั้งสี่เป็นบ่าวในจวนของพวกเราจริงๆ”
เฉินอิ๋งกล่าวขอบคุณออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะหันไปบอกกับทุกคน “ในคำให้การนี้คนทั้งสี่พูดถึงเรื่องเดียวกัน หรืออาจจะบอกว่าพูดถึงคนคนเดียวกันซึ่งก็คือเถาจือ”
เถาจือเนื้อตัวสั่น ใบหน้าซีดเผือดยิ่งกว่าเก่า
กัวย่วนเอนกายไปทางด้านหลัง ใบหน้ายามนี้ซ่อนหลบอยู่ใต้เงาม่านโปร่ง
เฉินอิ๋งบอกกับทุกคนด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “พยานทั้งสี่ต่างพูดเป็นเสียงเดียว พวกเขาบอกว่าเถาจือถูกซื้อตัวเข้ามาเมื่อปีที่แล้ว เพราะอายุยังน้อยจึงถูกส่งตัวให้ไปเรียนรู้กฎกับแม่นมที่คฤหาสน์อู่หลิง ไม่เคยออกพ้นประตูมาก่อน”
บรรยากาศภายในเรือนรับรองมีเพียงความเงียบสงัด จะมีก็แต่เสียงราวกับธารน้ำไหลของเฉินอิ๋งเท่านั้น “ข้าคิดว่าทุกคนน่าจะรู้ถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง เมื่อสามปีก่อน หรือก็คือตอนรัชศกหยวนจยาปีที่สิบสอง จู่ๆ น้ำในทะเลสาบของคฤหาสน์อู่หลิงก็เน่าเหม็น ในป่าท้อถูกแมลงบุกทำลาย เจิ้นหย่วนโหวใช้เงินจำนวนมากเชิญคนมาจัดการ และด้วยเพราะเหตุนี้ นับแต่รัชศกหยวนจยาปีที่สิบสองมาจนถึงต้นปีนี้ ที่นี่จึงไม่เคยต้อนรับแขก ไม่มีการจัดเลี้ยง วันนี้นับเป็นครั้งแรกในรอบสามปีที่คฤหาสน์อู่หลิงเปิดประตูจัดงานเลี้ยง คุณหนูรอง ข้าคงพูดไม่ผิดกระมัง”
ตอนพูดเฉินอิ๋งมองไปทางกู้หนานอีกครั้ง
กู้หนานพยักหน้าสีหน้าหนักแน่น ไม่กระอักกระอ่วนเหมือนก่อนหน้านี้
เหล่าสตรีในเรือนรับรองยามนี้ต่างเก็บท่าทีสบายๆ ไปหมดสิ้นแล้ว แต่ละคนล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึม
หากจะให้พูดกันโดยละเอียดก็ต้องบอกว่าตลอดระยะเวลาเกือบสองปีมานี้ เมืองเซิ่งจิงเพิ่งจะสงบ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็ด้วยเพราะเหล่าอ๋องกับจวิ้นอ๋องทั้งหลายต่างตายตกไปกันไม่ใช่น้อย
รัชศกหยวนจยาปีที่สิบเอ็ด ในราชสำนักเหลือท่านอ๋องเพียงหนึ่งเดียวซึ่งก็คืออันอ๋อง จู่ๆ เขาก็นำทหารก่อกบฏขึ้นที่เมืองเป่าติ้ง อำนาจนับว่าไม่ใช่น้อยๆ แน่นอนว่าด้วยเพราะความสามารถของฮ่องเต้หยวนจยาในยามนั้น เพียงไม่นานการก่อกบฏในครั้งนั้นก็ถูกปราบปรามราบคาบ อันอ๋องฆ่าตัวตาย ทหารกบฏพวกนั้นถูกสังหารหมดสิ้น แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ชนชั้นสูงในเมืองหลวงก็ยังคงอกสั่นขวัญแขวน เมื่อสองสามปีก่อนพวกเขาส่วนใหญ่ล้วนไม่ออกจากเมือง งานเลี้ยงดื่มกินท่องเที่ยวอันใดล้วนแต่จัดอยู่ในเมือง ทั้งนี้ก็เพราะกลัวถูกเพ่งเล็ง
เจิ้นหย่วนโหวปิดคฤหาสน์อู่หลิงนานสามปี พื้นที่ส่วนใหญ่พลอยได้รับผลกระทบ ที่ว่ากันว่าน้ำในทะเลสาบส่งกลิ่นเหม็น ป่าท้อถูกแมลงบุกรุกทำลายนั้น ไม่มีใครไม่รู้ว่านั่นเป็นเรื่องเท็จ อันที่จริงมันเป็นแค่ข้ออ้างที่ปั้นแต่งขึ้นเท่านั้น
“คฤหาสน์อู่หลิงไม่เปิดมาสามปี ส่วนเถาจือเข้ามาที่นี่เมื่อสองปีก่อน ช่วงระยะเวลาดังกล่าวอย่าว่าแต่ราชนิกุลเลย แม้แต่แขกธรรมดาทั่วไปแม่นางเถาจือเองก็ไม่เคยพบเจอแม้แต่คนเดียว” เฉินอิ๋งหันหน้าไปมองเถาจือด้วยดวงตาวับวาว “ด้วยเหตุนี้ข้าจึงสรุปได้เรื่องหนึ่ง วันนี้ เวลานี้ ยามนี้เป็นวาระแรกที่แม่นางเถาจือได้พบพานแขกที่มาจากข้างนอก ส่วนก้อนเงินสองก้อนนี้เป็นไปได้ว่านางได้มาจากแขกเหรื่อที่มาร่วมงานเลี้ยงในวันนี้”
พูดถึงตรงนี้มุมปากของนางก็ยกขึ้นน้อยๆ เผยให้เห็นถึงรอยยิ้มที่แท้จริง “ช่างบังเอิญเสียจริงๆ วันนี้ท่ามกลางแขกเหรื่อที่มากันแน่นขนัด คนที่สามารถมอบก้อนเงินเช่นนี้ให้นางได้กลับมีเพียงคนเดียวเท่านั้น”
“คุณหนูสามลืมองค์หญิงใหญ่กับราชนิกุลอาวุโสคนอื่นๆ ไปแล้วหรือไร ทุกคนล้วนสามารถหยิบเอาข้าวของที่วังหลวงจัดทำออกมาได้ด้วยกันทั้งนั้น” นางกำนัลคนดังกล่าวเอ่ยปากเตือนด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ข้าไม่ได้ลืม” เฉินอิ๋งไม่มีอาการลนลาน นางยังคงชูคำให้การสูง “คำให้การนี้บันทึกเวลาปฏิบัติหน้าที่ของเถาจือไว้ เสี่ยวหงกับเสี่ยวชุ่ยต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าวันนี้เถาจือน่าจะทำงานช่วงบ่าย เริ่มตั้งแต่กลางยามเว่ย* ส่วนองค์หญิงใหญ่กับฮูหยินอาวุโสทั้งหลายต่างนั่งเรือวิจิตรไปกันตั้งแต่ต้นยามเว่ยกับอีกหนึ่งเค่อแล้ว ไหนเลยจะมีโอกาสประทานก้อนเงินให้กับนางได้”
“ต่อให้ไม่ใช่เวรของนาง แต่คนมีขา ไม่แน่ว่าตอนเช้านางอาจบังเอิญพบเจอกับผู้สูงศักดิ์ที่ใดเข้า” นางกำนัลนางนั้นพูดน้ำเสียงราบเรียบ
“เรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” เฉินอิ๋งเอ่ยวาจาท่าทีสงบนิ่ง “ตลอดเช้าเถาจือไม่ได้ออกจากเรือนเล็กที่พวกสาวใช้พักอาศัยอยู่ พวกหญิงรับใช้อาวุโสที่คอยจับตาดูพวกนางอยู่พวกนั้นไม่อนุญาตให้พวกนางไปไหนมาไหนตามอำเภอใจ หากเซี่ยนจู่มีเวลาว่าง พวกเราสามารถเรียกคนพวกนั้นมายืนยันต่อหน้าเถาจือได้”
นางกำนัลนางนั้นชะงักค้างไปชั่วขณะก่อนจะกระแอมออกมาคำหนึ่ง “เรื่อง…ยืนยันอะไรนั่นหาจำเป็นไม่ ทว่าคุณหนูสามคงลืมไปเรื่องหนึ่ง ไม่แน่ว่าก่อนเข้าจวนเจิ้นหย่วนโหวมา เถาจืออาจเคยได้รับการตกรางวัลจากผู้สูงศักดิ์ที่ใดมาก่อน เงินก้อนนี้นางอาจนำเข้ามาจากข้างนอกก็ได้”
“สองสามปีก่อน?” มุมปากของเฉินอิ๋งยกอยู่ในองศาแปลกประหลาด นางชูก้อนเงินขึ้นสูง “ขอทุกท่านดูให้ชัดๆ นี่เป็นก้อนเงินที่เพิ่งทำขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ก้อนเงินของปีก่อน เมื่อหลายปีก่อนเถาจือจะไปเอามาจากที่ใด”
เพราะรู้ว่าตนเองพลาดไปแล้ว นางกำนัลนางนั้นจึงปิดปากแน่น ไม่พูดอะไรอีก
พวกนางสองคน คนหนึ่งถามคนหนึ่งตอบ ทั้งเร็วทั้งกระจ่างชัด ทุกคนได้แต่นิ่งฟังทำอะไรไม่ถูก จนถึงตอนนี้เสียงหัวเราะแผ่วเบาถึงได้ดังขึ้น
หากว่ากันถึงมิตรภาพ เซียงซานเซี่ยนจู่เหมือนจะด้อยกว่าเฉินจิ่น สตรีที่เคยถูกนางรังแกกลั่นแกล้งมีจำนวนอยู่ไม่น้อย เห็นนางถูกต้อนจนอับจนเช่นนั้นย่อมมีคนปลาบปลื้มยินดี
“เจ้านายตกรางวัลบ่าวไพร่เป็นเรื่องธรรมดา แต่ต่อหน้าทุกคนเซี่ยนจู่กลับปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่เคยประทานรางวัลเป็นเงินจำนวนมากให้เถาจือ เพราะเหตุใดกัน” เฉินอิ๋งหันไปถามทุกคน
เรือนรับรองเงียบสงัดอย่างน่าอัศจรรย์
ถึงจะไม่มีคนกล่าวถ้อยวาจาใด แต่บรรยากาศกลับคล้ายดูคึกคักเป็นที่สุดเหมือนมีคนกำลังตื่นเต้น เอ่ยปากวิพากษ์วิจารณ์คาดเดาไปต่างๆ นานา
กัวย่วนซุกตัวอยู่ใต้เงามืด ลมหายใจเย็นเยียบคล้ายแพร่กระจายออกสู่ภายนอกทีละเล็กทีละน้อย