ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 7-9
บทที่ 8 องค์หญิงใหญ่เสด็จ
เฉินอิ๋งกวาดตามองทุกคน รอยยิ้มบนใบหน้าทั้งแปลกประหลาดทั้งสงบนิ่ง “ข้าคิดว่าทุกคนคงประจักษ์ชัดแล้วว่าความจริงเป็นเช่นไร คำให้การของเถาจือเป็นเรื่องเท็จ ขโมยหยกเหยียบหยกที่นางบอกก็เป็นเรื่องโกหกเช่นกัน พี่ใหญ่ข้าบริสุทธิ์ คนที่สร้างเรื่องทั้งหมดนี้ก็คือคนที่มอบเงินก้อนให้กับเถาจือ ซึ่งก็คือเซี่ยน…”
“เจ้าอาศัยอะไรมากล่าวหาว่าข้าเป็นคนตกรางวัลให้นาง” จู่ๆ เสียงแหลมๆ ของกัวย่วนก็ดังขึ้น ร่างทั้งร่างโน้มเอนมาทางด้านหน้า สายตาที่มองดูเฉินอิ๋งราวกับคิดจะกินเลือดกินเนื้อ
“เจ้าอาศัยอะไรกัดข้าไม่ปล่อย ก้อนเงินชนิดนี้คนที่อยู่รอบกายข้าล้วนมีได้ด้วยกันทั้งสิ้น เจ้ามีหลักฐานอะไรถึงมั่นอกมั่นใจว่าเป็นข้า”
เฉินอิ๋งเม้มปากแน่น ความรู้สึกสะอิดสะเอียนเอ่อท้นอยู่ภายในใจ
“เหตุใดถึงไม่พูดเล่า! ไม่มีอะไรจะพูดสินะ” กัวย่วนตวาดเสียงแหลมออกมาอีกคราว ใบหน้างดงามเย้ายวนแต่เดิมยามนี้กลับกลายเป็นอัปลักษณ์หมดสิ้น “เจ้าฉลาดมากไม่ใช่หรือไร หนำซ้ำยังสามารถหาคนมาเป็นพยานได้มากมายอีกด้วยไม่ใช่หรอกหรือ แล้วเหตุใดถึงไม่พูดต่อเล่า! พูดสิ!”
จู่ๆ กัวย่วนก็หัวเราะดังลั่น เสียงหัวเราะกำเริบเสิบสานกระจ่างชัด แฝงไว้ซึ่งน้ำเสียงเย่อหยิ่งราวกับต้องการจะบอกว่า ‘อย่างไรแล้วเจ้าก็ทำอะไรข้าไม่ได้’
เฉินอิ๋งขมวดคิ้ว เก็บคำให้การไม่พูดไม่จา
จากประสบการณ์ของนาง เสียงหัวเราะบ้าคลั่งเปลืองแรงเช่นนี้ล้วนดำเนินได้ไม่นาน ดังนั้นนางจึงตัดสินใจใช้ช่วงเวลาสั้นๆ นี้เก็บหลักฐานคำให้การให้เรียบร้อย
ทันทีที่เก็บทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จ เสียงหัวเราะนั้นก็หยุดลงเช่นกัน กัวย่วนใช้มือค้ำโต๊ะหอบหายใจ เห็นได้ชัดว่าเหนื่อยอยู่ไม่ใช่น้อย
ทันทีที่สบโอกาส เฉินอิ๋งก็เอ่ยปากขึ้นมาทันที “เซี่ยนจู่สังเกตเห็นหรือไม่ว่ายามนี้มีคนผู้หนึ่งหายตัวไป”
กัวย่วนตะลึงงัน
เฉินอิ๋งยิ้มมุมปาก นางยื่นมือชี้ไปทางด้านหลัง “สาวใช้ของเซี่ยนจู่ขาดหายไปคนหนึ่ง”
กัวย่วนตกใจ ยังไม่ทันหันหน้าไป สาวใช้ที่ชื่อเสียฟางก็เขยิบเข้ามากระซิบที่ข้างหูนาง “เส่าหงยังไม่กลับมาเจ้าค่ะ”
“ที่ขาดไปคงเป็นเส่าหงกระมัง” เฉินอิ๋งคล้ายมีหูทิพย์ นางพูดชื่อสาวใช้อีกคนของกัวย่วนออกมา
แววตาหยิ่งผยองมั่นอกมั่นใจของกัวย่วนหายลับฉับพลัน
นางหรี่ตาลงเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่นางตั้งอกตั้งใจพิจารณาดูคุณหนูสามสกุลเฉินที่อยู่ตรงหน้าอย่างจริงจัง ขณะเดียวกันก็ลอบโบกมือไปทางด้านหลัง
เสียฟางเข้าใจได้ทันที นางรีบค้อมกายถอยจากไป
การเคลื่อนไหวเล็กๆ ของนายบ่าวสองคนย่อมหนีไม่พ้นสายตาของเฉินอิ๋ง
“เซี่ยนจู่คิดเรียกคนไปตามหาในเวลานี้เกรงว่าคงสายเกินการแล้ว” เฉินอิ๋งไม่ลนลาน คล้ายไม่สนใจกับเรื่องดังกล่าว “คำนวณจากเวลาแล้ว คนของข้าตอนนี้คงพาตัวเส่าหงเข้าเมืองมาแล้ว อีกไม่นานที่ว่าการเซิ่งจิงก็คงได้รับฎีการ้องเรียนเซียงซานเซี่ยนจู่ของข้า”
เรือนรับรองเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะตามติดมาด้วยเสียงดังฮือฮา
คุณหนูสามสกุลเฉินยื่นฎีการ้องเรียนเซียงซานเซี่ยนจู่ถึงที่ว่าการเซิ่งจิง?
เรื่องเช่นนี้ทำได้ด้วยหรือ
ทว่าสีหน้าท่าทางของเฉินอิ๋งเหมือนไม่คล้ายโป้ปด เรื่องนี้ทำให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังกระหึ่มมากขึ้นไปอีก
กัวย่วนแทบไม่เชื่อหูตนเอง
“ที่ว่าการเซิ่งจิง? ฎีการ้องเรียน? เจ้าพูดอะไรของเจ้า” ในที่สุดนางก็เริ่มลนลาน ท่าทียโสโอหังที่เคยมีอยู่แต่เดิมหายลับไปจนสิ้น ยามนี้นางก็แค่เด็กสาวอายุสิบสี่เท่านั้น กัวย่วนตะลึงลานทำอะไรไม่ถูก
เรื่องราวในวันนี้เส่าหงรู้ดีที่สุด
ซื้อตัวเถาจือ หลอกล่อบ่าวเฝ้าห้องสุขา เอาหยกที่กัวย่วนทำแตกไปทิ้งไว้ในนั้น เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฝีมือของเส่าหง หากนางสารภาพอะไรออกมา เช่นนั้น…
“ข้าบอกว่าข้ากำลังจะยื่นฎีการ้องเรียนท่าน เซียงซานเซี่ยนจู่” จู่ๆ เสียงของเฉินอิ๋งก็ดังขึ้น กัวย่วนกลับกลายได้สติขึ้นมาทันที
นางจ้องเฉินอิ๋งเขม็ง สีหน้ากลับไปกลับมาระหว่างตะลึงลานกับโหดเหี้ยมอำมหิต
น้ำเสียงของเฉินอิ๋งยังคงสงบนิ่งไม่เปลี่ยน “ข้าจะไปยื่นฎีการ้องเรียนเซียงซานเซี่ยนจู่ยังที่ว่าการเซิ่งจิงฐานให้ท้ายบ่าวไพร่ทำเรื่องชั่วช้า วางแผนทำลายชื่อเสียงผู้อื่น ข้ายังจะร้องเรียนว่าท่านซื้อพยาน จงใจแต่งเรื่องใส่ร้ายทายาทขุนนางผู้เป็นเสาหลักของแผ่นดิน”
พูดถึงตรงนี้นางก็หยุดไปชั่วขณะ เหมือนต้องการให้คำพูดต่อจากนี้มีแรงกระแทกมากขึ้นไปอีก “และข้ายังต้องการร้องเรียนว่าท่านทรยศต่อกฎบรรพชน ไม่เคารพอาวุโส จงใจทำลายของของอดีตฮ่องเต้ นั่นก็เพราะว่าหยกมังกรชือหลงเก้าห่วงนั้นเซียงซานเซี่ยนจู่เป็นคนทำลายมันเองกับมือ!”
เสียงฮือฮาดังก้องไปทั่ว สตรีในเรือนรับรองต่างไม่มีใครสนใจเรื่องสำรวมกิริยามารยาทอีกต่อไป เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังแทบทะลุหลังคา
ในหมู่สตรีสูงศักดิ์แห่งเมืองเซิ่งจิง ไม่รู้ว่านานเพียงใดแล้วที่ไม่เคยเกิดเรื่องคึกคักเช่นนี้
สตรีจวนเฉิงกั๋วกงต้องการยื่นฎีการ้องเรียนเซียงซานเซี่ยนจู่!
หากเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา ละครเรื่องนี้ไม่รู้ว่าจะน่าดูชมถึงเพียงใด หัวข้อสนทนาหลังอาหารคงน่าสนใจขึ้นอีกไม่ใช่น้อย
“องค์หญิงใหญ่หย่งหนิงเสด็จ…” จู่ๆ เสียงร้องแจ้งเตือนกระจ่างชัดก็ดังขึ้น ไม่ต่างอะไรกับน้ำเย็นถังหนึ่งสาดใส่จนบรรยากาศพลุ่งพล่านในเรือนรับรองมอดดับ
เสียงวิพากษ์วิจารณ์แผ่วเบาลงอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างรีบเก็บสีหน้า จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง วางท่าสงบเสงี่ยมเรียบร้อยสมกับเป็นกุลสตรี ยืนตัวตรงอยู่ตลอดสองข้างทางของประตู รอการมาถึงของสตรีผู้มีฐานะสูงส่งที่สุดในราชสำนักต้าฉู่
บานประตูเปิดกว้าง องค์หญิงใหญ่หย่งหนิงเชิดพระพักตร์ตรงเข้ามาก่อนเป็นลำดับแรก
อายุของนางเหมือนจะยังไม่ถึงสี่สิบ ใบหน้ายาว หางตาชี้ขึ้น เขียนคิ้วเรียวเล็กโก่งขึ้นน้อยๆ ตามสมัยนิยม ทาชาดสีแดงไว้บนริมฝีปาก เกล้ามวยสูงทรงชมเทพ สวมอาภรณ์ไหมสองชั้นลายประแจจีนสีเหลืองแกมเขียว ช่วงล่างคือกระโปรงจีบสีเทาอ่อนปักชายลายห้าหงส์เหินตะวันเดินเส้นทอง ด้านนอกยังมีเสื้อคลุมขนนกปักลายเมฆาม่วงครามประดับมุก หรูหรางดงามยิ่งยวด
เฉินอิ๋งที่ยืนอยู่นอกฝูงชนส่ายหน้าถอนหายใจ
ความงามขององค์หญิงใหญ่เดิมยังพอมีอยู่ห้าส่วน ทว่ากลับถูกการแต่งตัวหักกลบลบเหลือเพียงสามส่วนเท่านั้น ขณะที่ตัวองค์หญิงใหญ่เองกลับไม่รู้ หนำซ้ำยังคิดว่าตนเองนั้นเด่นล้ำเหนือผู้ใด
ที่ตามองค์หญิงใหญ่หย่งหนิงเข้ามาคือสวี่ซื่อ* ฮูหยินของซื่อจื่อเฉิงกั๋วกง หลังจากนั้นก็เป็นตู้ซื่อ ฮูหยินซื่อจื่อจวนเจิ้นหย่วนโหว ก่อนจะเป็นเหล่าฮูหยินคนอื่นๆ ทุกคนล้วนตามติดเข้ามาไม่ต่างอะไรกับฝูงปลา ใบหน้าของพวกนางล้วนฝากแฝงไว้ซึ่งรอยยิ้ม คล้ายเที่ยวเล่นสำราญใจยิ่ง
“เสด็จแม่!” พอเห็นดาวช่วยชีวิต กัวย่วนก็ร่ำไห้ตรงดิ่งเข้าไปทันที โผเข้าสู่อ้อมกอดขององค์หญิงใหญ่หย่งหนิงพลางสะอึกสะอื้นบอก “เสด็จแม่ ลูก…คุณหนูสามสกุลเฉินนาง…” เพียงชั่วพริบตาเดียวนางก็ร้องไห้โฮออกมาราวกับเด็กถูกคนกลั่นแกล้งก็ไม่ปาน
องค์หญิงใหญ่หย่งหนิงเหมือนจะทรงล่วงรู้เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่แต่แรก จึงตบหลังอีกฝ่ายด้วยความรักใคร่พลางส่งสายพระเนตรขออภัยไปยังเหล่าฮูหยินที่อยู่ทางด้านหลัง ส่ายพระพักตร์รับสั่งว่า “เด็กๆ ก็เช่นนี้ ดีแต่ก่อเรื่อง ไม่รู้ประสีประสา ขายหน้าทุกคนแล้ว”
หลังจากนั้นก็ทรงเอ่ยปากปลอบกัวย่วนด้วยน้ำเสียงละมุนละไม “เด็กดี เลิกร้องไห้ได้แล้ว แม่อยู่ที่นี่แล้ว”
“นั่นสิ” คนที่พูดต่อคือสวี่ซื่อ ฮูหยินของซื่อจื่อเฉิงกั๋วกง
ท่ามกลางสตรีสูงศักดิ์ที่อยู่กันเต็มเรือนรับรอง มีก็แต่นางเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเอ่ยวาจารับคำต่อจากองค์หญิงใหญ่ได้
ยามนี้นางเองก็โอบกอดบุตรีเฉินจิ่นไว้เช่นกัน กล่าวอย่างทั้งเอ็นดูทั้งกลัดกลุ้มโมโหว่า “ดูเจ้าสิ จะเข้าสู่พิธีปักปิ่น อยู่รอมร่อ ไฉนยังทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตเช่นนี้อีก ไม่รู้จักอายคนบ้างหรือไร”
เฉินจิ่นซุกหน้าลงกับอ้อมอกของสวี่ซื่อ ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่เก็บมาเป็นนานพรั่งพรูออกมาทันที นางเองก็ร้องไห้เช่นกัน
ทันใดนั้นในเรือนรับรองก็เต็มไปด้วยเสียงสตรีร่ำไห้กับเสียงปลอบประโลมอ่อนโยนของผู้เป็นมารดา มิได้ตึงเครียดเหมือนก่อนหน้านี้อีก
“นั่งลงก่อน ทุกคนนั่งลงก่อน” ตู้ซื่อ ฮูหยินของซื่อจื่อเจิ้นหย่วนโหวเดินขึ้นหน้าพูด นางหันไปสั่งให้สาวใช้จัดโต๊ะเก้าอี้ จัดของว่างขึ้นรับแขกใหม่อีกครั้ง