ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 7-9
บทที่ 9 พูดคุยยิ้มหัวชื่นมื่น
องค์หญิงใหญ่กับสวี่ซื่อต่างพาบุตรีของตนเองไปนั่งลงบนเก้าอี้ เสียงร้องของเฉินจิ่นกับกัวย่วนค่อยๆ แผ่วเบาลง ชาร้อนกับของว่างสดใหม่ทยอยลำเลียงขึ้นโต๊ะราวกับสายน้ำหลาก ประตูฝั่งศาลาริมน้ำบานนั้นยามนี้ถูกเปิดออกอีกครั้ง เสียงเพลงเจื้อยแจ้วดังลอยข้ามผืนน้ำมา ฟังดูเลื่อนลอยไกลห่าง
ทุกสิ่งกลับสู่สภาพเดิมราวกับไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น
พอเห็นองค์หญิงใหญ่กับสวี่ซื่อนั่งพูดคุยยิ้มหัวชื่นมื่นอยู่ไกลๆ บนที่นั่งประธาน เฉินอิ๋งก็ยิ้มมุมปาก
แผนการร้ายสิ้นสุด เหลือก็แค่ขั้นตอนสุดท้ายเท่านั้น ถึงตอนนั้นงานเลี้ยงรับวสันต์นี้ก็จะปิดฉากลงอย่างมีความสุข
หากไม่มีอะไรนอกเหนือความคาดหมาย
มุมปากของเฉินอิ๋งขยับยกอยู่ในองศาที่พิลึกพิลั่นยิ่งกว่าก่อน
หลังจากผ่านไปได้ราวๆ ครึ่งเค่อ ในที่สุดกัวย่วนก็ร้องเอาความหวาดหวั่นวิตกกังวลออกมาจนสิ้น นางสูดจมูกผละออกจากอ้อมกอดขององค์หญิงใหญ่ กดซับผ้าเช็ดหน้าลงบนหางตาด้วยท่าทีสำรวม
ครั้นผู้เป็นแม่มาถึง อารมณ์โกรธขึ้งของนางก็หวนกลับมาอีกครั้ง
“เสด็จแม่ รีบรับสั่งให้คนเตรียมรถ เอาตัวเส่าหงกลับมาเถอะเพคะ” ตอนเก็บผ้าเช็ดหน้ากลับ กัวย่วนก็กระตุกแขนเสื้อขององค์หญิงใหญ่พลางเอ่ยปากอ้อนวอน น้ำเสียงออดอ้อนไม่ต่างอะไรกับทารกที่ต้องการการปกป้อง ในเวลาเดียวกันก็กวาดตามองไปรอบๆ เพียงไม่นานนางก็ควานหาตัวเฉินอิ๋งที่นั่งอยู่แถวหลังๆ พบ นางยกมือชี้ “เสด็จแม่ นาง…นางก็คือคุณหนูสามสกุลเฉิน นางจะ…”
จู่ๆ นางก็หยุดพูด มือที่ยื่นออกไปก็กลับกลายแข็งทื่อ สีหน้าราวกับพบเจอภูตผีปีศาจ นางมองออกไปนอกฝูงชน
เส่าหงสาวใช้คนสนิทของนางเดินเข้ามาอยู่ท่ามกลางฝูงชน บางทีอาจเพราะบังเอิญได้ยินคำพูดท่อนแรกของเซียงซานเซี่ยนจู่ก่อนหน้านี้จึงรีบเดินดิ่งเข้ามา ค้อมกายนอบน้อมถาม
“เซี่ยนจู่ตามหาตัวผู้น้อย?”
กัวย่วนอ้าปากค้างนึกคิดจินตนาการไม่ออก อักษรคำว่า ‘ตื่นตระหนก’ ปรากฏอยู่เต็มใบหน้า นางมองดูเส่าหงคราหนึ่ง ก่อนจะหันมองไปทางเฉินอิ๋งที่สีหน้าร้างไร้ความรู้สึกทีหนึ่ง สองตากะพริบปริบๆ ไม่หยุดเหมือนกลัวตนเองจะมองผิดไป
กัวย่วนไม่ได้ตอบคำถามของเส่าหง หากกลับดึงมือกลับมองดูอีกฝ่ายด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เหตุใดเจ้า…เจ้าถึงอยู่ที่นี่ได้ เมื่อครู่เจ้าไปที่ใดมา”
เส่าหงหน้าแดง หลังสะทกสะเทิ้นอยู่ครู่หนึ่งนางก็ตอบเสียงแผ่ว “ผู้น้อย…ผู้น้อยอยู่ในห้องสุขา…”
ยังไม่ทันพูดจบ ทุกคนก็เข้าใจได้แทบหมดสิ้น
ที่เฉินอิ๋งบอกว่า ‘จับตัวเส่าหงส่งไปที่ว่าการเซิ่งจิง’ แท้จริงแล้วก็คือเรื่องโกหก
ทุกคนต่างพากันทอดถอนใจ กล้าหลอกลวงแม้กระทั่งเซี่ยนจู่ คุณหนูสามจวนกั๋วกงผู้นี้ใจกล้ายิ่งนัก
กัวย่วนยามนี้กลับกลายได้สติ นางอดนึกโมโหไม่ได้ สายตาเย็นเยียบจับจ้องไปทางเฉินอิ๋ง ทว่าในใจกลับรู้สึกเบาโหวง
เหตุใดถึงได้บังเอิญเช่นนี้ เหตุใดนางถึงรู้ว่าต้องใช้เส่าหงหลอกล่อตนเอง หรือว่านางรู้ถึงแผนนี้อยู่ตั้งแต่แรก?
แต่นางรู้ได้เช่นไร หรือว่านางรู้จักศาสตร์ทำนายชะตา?
ขณะที่กัวย่วนกำลังคิดอ่านสับสน องค์หญิงใหญ่กับพวกสวี่ซื่อก็เข้าใจเรื่องราวส่วนใหญ่แล้ว
ความจริงหากไม่ได้รับข้อความที่กู้หนานให้คนส่งไป พวกนางไหนเลยจะยอมเดินทางกลับมาก่อนเช่นนี้ ยามนี้ครั้นรับรู้เรื่องราวโดยละเอียด สวี่ซื่อกับองค์หญิงใหญ่ก็ต่างระบายรอยยิ้มเต็มใบหน้า มองไม่ออกว่ามีอันใดผิดปกติ
“นิสัยของเซียงซานเป็นเช่นไรข้าย่อมรู้ดีกว่าใคร นางเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ใจร้อนวู่วาม” องค์หญิงใหญ่รับสั่งกับสวี่ซื่อก่อน รอยแย้มพระสรวลอบอุ่นประดับอยู่บนสีพระพักตร์ “ไม่รู้นางไปเอานิสัยเช่นนี้มาจากผู้ใด ข้าเองก็ปวดหัวกับนางยิ่งนัก โชคดีที่วันนี้ไม่เกิดเรื่องราวใหญ่โตอะไรขึ้น ข้าล่ะโล่งอกจริงๆ”
“รับสั่งอะไรเช่นนั้นเพคะ” รอยยิ้มของสวี่ซื่อเองก็เป็นไปตามธรรมชาติไม่มีแข็งขืน อบอุ่นอ่อนโยนแฝงด้วยความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ “เด็กๆ เติบโตมาพร้อมกับการทะเลาะเบาะแว้ง กระทบกระทั่งกันบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา ประเดี๋ยวโกรธประเดี๋ยวคืนดีกัน อย่างไรก็ล้วนเป็นสหาย ผู้อาวุโสอย่างพวกเราเห็นแล้วก็มีแต่นึกยินดี”
ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้นองค์หญิงใหญ่ก็ทรงพระสรวล หวนนึกถึงเรื่องราวสนุกสนานในวัยเด็ก สวี่ซื่อเองก็ร่วมวงครึกครื้นด้วย ทั้งสองพูดคุยถูกคอ เพียงไม่กี่ประโยคเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ถูกระบุให้เป็นเรื่อง ‘เหลวไหลของพวกเด็กๆ’ องค์หญิงใหญ่รับสั่งให้กัวย่วนยอมรับผิดต่อหน้าสวี่ซื่อ สวี่ซื่อยืนกรานปฏิเสธ แต่องค์หญิงใหญ่กลับไม่ยอม จึงได้แต่เลือกอีกวิธีหนึ่ง รับสั่งให้กัวย่วนเดินไปจับมือเฉินจิ่นไว้ ก่อนจะเอ่ยปากสั่งผู้เป็นบุตรีอย่างเข้มงวดว่า “วันหน้าห้ามไม่ให้เจ้าใจร้อนวู่วามเช่นนี้อีก”
เมื่อปัญหาได้รับการแก้ไข บรรยากาศภายในเรือนรับรองก็กลับกลายเป็นสนิทสนมกลมเกลียวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทุกหนแห่งล้วนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะยินดี พยานที่ชื่อเถาจือที่เมื่อครู่ยังปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตาทุกคนถูกลืมเลือนไปแทบสิ้น ผู้คนส่วนใหญ่ถึงกับไม่รู้ว่านางหายตัวไปเมื่อใด
พอเห็นเรือนรับรองอบอวลไปด้วยบรรยากาศสงบสุข มุมปากของเฉินอิ๋งที่หยุดค้างอยู่ยังองศาแปลกประหลาดก็กลับสู่สภาพเดิม
นางจัดแจงเสื้อผ้าอาภรณ์ ลุกขึ้นยืน เดินขึ้นหน้าแสดงคารวะด้วยท่วงท่าถูกต้องตามขนบธรรมเนียม “องค์หญิงใหญ่เพคะ ท่านป้าใหญ่เจ้าคะ ข้ามีเรื่องต้องการพูด”
เสียงหัวเราะค่อยๆ หยุดลง สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องอยู่บนตัวนาง
คุณหนูสามผู้นี้วันนี้สามารถมีชื่อเสียงขึ้นมาได้ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะในที่ลับหรือที่แจ้งล้วนไม่มีผู้ใดแท้ๆ นึกไม่ถึงว่ายามนี้ทุกคนกลับจ้องมองดูนางอย่างเปิดเผย
“เจ้ามีเรื่องต้องการพูด?” สวี่ซื่อพูดเนิบๆ นางวางถ้วยชาลง ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปลายนิ้ว
องค์หญิงใหญ่ที่อยู่อีกด้านไม่รับสั่งอันใด ทว่าคิ้วคู่สวยนั้นกลับกดต่ำ
ทันใดนั้นบรรยากาศยากจะอธิบายก็แพร่สะพัดออกมาจากตัวนาง นั่นคือพลังของผู้ที่ครอบครองอำนาจมาเป็นเวลาช้านาน เป็นอำนาจขององค์หญิงใหญ่ของแผ่นดิน เย็นเยียบ น่าเกรงขาม เสมือนหนึ่งบรรพตสูงใหญ่ที่ไม่อาจล่วงละเมิด
เรือนรับรองกลับกลายเงียบสงัดอีกครา
แต่ที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจคือเฉินอิ๋งกลับคล้ายไม่สังเกตเห็นสีพระพักตร์ขององค์หญิงใหญ่ ท่าทางของนางยังคงคล้ายสายน้ำใสกระจ่างสะอาดบริสุทธิ์
นางย่างก้าวมั่นคงเดินไปหยุดอยู่หน้าโถงใหญ่ ไม่ได้รีบร้อนเอ่ยปาก หากกลับเริ่มหยิบเอาของออกมาจากแขนเสื้อทีละชิ้นๆ จดหมายให้ปากคำสองสามฉบับ แผนที่หนึ่งแผ่น เงินก้อนที่มีกระดาษหุ้มห่อไว้สองก้อน
ตอนมองเห็นเงินก้อน กัวย่วนก็ส่งเสียงประชดเต็มแรงออกมาคราหนึ่ง
“เจ้าเอาของพวกนี้ออกมาด้วยเหตุใด” น้ำเสียงของสวี่ซื่อเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย คล้ายรับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง นางกระวนกระวายจนขยับกำไลหยกมันแพะบนข้อมืออย่างไม่สบายอกสบายใจ
เฉินอิ๋งเงยหน้ามองดูนางคราหนึ่ง ก่อนจะหันมองไปทางองค์หญิงใหญ่ มุมปากยกอยู่ในองศาพิลึกพิลั่น “นี่คือหลักฐานคำให้การที่รวบรวมได้ในวันนี้ ทั้งหมดล้วนอยู่ที่นี่แล้ว”
เรือนรับรองเงียบงันชวนอึดอัด แม้แต่เสียงเข็มหล่นก็ยังได้ยิน
“เจ้าเป็นบ้าอะไรของเจ้า” กัวย่วนอดไม่ได้ที่จะพูดต่อว่าอีกฝ่าย
เฉินจิ่นที่อยู่อีกด้านก็เริ่มนั่งไม่ติด นางแอบชำเลืองมององค์หญิงใหญ่ ขณะกำลังจะเอ่ยปากเตือนเฉินอิ๋ง จู่ๆ แขนเสื้อก็ถูกใครบางคนดึงไว้
นางหันหน้ามองไปกลับพบว่าคนที่ดึงนางไว้เป็นสวี่ซื่อผู้เป็นมารดา สวี่ซื่อส่ายหน้าน้อยๆ ปรายตามองไปทางองค์หญิงใหญ่ปราดหนึ่ง
เฉินจิ่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดนางก็ปิดปากเงียบ
เฉินอิ๋งเดินขึ้นหน้าต่ออีกสองสามก้าว สองมือวางของเหล่านั้นลงบนโต๊ะกลมหน้าสวี่ซื่อ หางตากลับเหลือบเห็นขาโต๊ะสลักดอกท้อใกล้แย้มบานกิ่งหนึ่ง
นางรู้สึกประหลาดใจ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เหตุใดตนเองยังสนใจเหลือบแลสิ่งต่างๆ เหล่านี้อีก
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 ม.ค. 66 เวลา 12.00 น.