LOVE
ทดลองอ่าน ออดอ้อน… เพียงเธอ บทที่5-บทที่6
บทที่ 6
คนบ้าอำนาจ
หลังจากวันนั้นภวิลก็ไม่ได้มาที่บ้านวงศ์วรารมย์ ไม่ได้ติดต่อกับพาขวัญ และพิธานก็ไม่ได้พูดถึงเขาให้เธอได้ยินซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะปกติภวิลก็ไม่ได้มาที่นี่บ่อยๆ และไม่ได้ติดต่อกับเธอเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว แต่…สิ่งที่ไม่ปกติคือความรู้สึกของหญิงสาวต่างหาก
พาขวัญพยายามคิดว่าภวิลอายุตั้งสามสิบห้าปีแล้ว เขาจะมีผู้หญิงพัวพันในชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องแปลก และเธอไม่ได้เป็นอะไรกับเขา ฉะนั้นเธอไม่ควรเก็บเอาเรื่องในวันนั้นมาใส่ใจ แต่…ผ่านมาสามวันแล้ว ภาพที่ภวิลจูบกับผู้หญิงคนนั้นก็ยังตามหลอกหลอนเธอไม่หาย ทั้งยังทำให้เธอร้อนรุ่มในใจทุกครั้งที่นึกถึง
พาขวัญไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าเธอจะจำเหตุการณ์นั้นเอาไว้ฝังจิตฝังใจทำไม ทั้งๆ ที่จำแล้วมันไม่เกิดประโยชน์อะไรในชีวิตของเธอเลยนอกจากจะทำให้เธอรู้สึกแย่
“วันนี้น้องพลีสไม่ได้ออกไปไหนใช่มั้ย” พิธานถามเมื่อเห็นว่าลูกสาวทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ที่จริงท่านเช็กตารางสอนของโรงเรียนมาแล้วว่าวันนี้เธอไม่มีคลาสสอน แต่ก็ถามเพื่อเข้าประเด็น
“ค่ะ คุณพ่อถามทำไมเหรอคะ”
“วันนี้จะมีประชุมสำคัญที่บริษัท พ่อก็เลยบอกให้พี่ภักดิ์เขามารับน้องพลีสไปที่บริษัทด้วย น้องพลีสจะได้เห็นบรรยากาศในการทำงาน” พิธานพูดต่ออย่างใจเย็น
“แต่พลีสไปก็ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไรเลย พลีสไม่ได้อยากไปทำงานที่บริษัทอยู่แล้ว”
พาขวัญทำหน้ามุ่ย เดิมทีเธอคิดว่าจะพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ออกกำลังกายเบาๆ ดูหนังที่อยากดู และเตรียมการสอนสำหรับวันพรุ่งนี้ แต่กลับต้องเปลี่ยนแผนกะทันหันเพราะพิธานอยากให้เธอมีเวลาอยู่กับภวิล
พอนึกถึงหน้าภวิล หญิงสาวก็นึกถึงตอนที่เขาจูบกับผู้หญิงคนนั้นในห้องทำงานทำให้ยิ่งไม่อยากเจอหน้าเขา…พิธานอยากให้เธอลงเอยกับภวิล แต่ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าเขาอยากจะลงเอยกับเธอ
“เผื่อว่าน้องพลีสไม่อยากแต่งงานกับพี่ภักดิ์เขาไง จะได้รู้ว่าตัวเองต้องทำงานอะไรแทนพี่เขาบ้าง เดี๋ยวน้องพลีสจะหาว่าพ่อบังคับให้น้องพลีสแต่งงานกับพี่ภักดิ์และไม่มีทางเลือกให้น้องพลีส”
พิธานบอกอย่างมีเหตุผล แต่พาขวัญอดคิดไม่ได้ว่าตัวเลือกที่ท่านมีให้นั้นไม่ต่างอะไรกับบังคับเธอ แต่ครั้นจะให้ท่านขายบริษัทหรือยกบริษัทให้คนที่ไว้ใจไม่ได้มาดูแลก็คงเป็นการทำร้ายจิตใจท่านจนเกินไป
พิธานกับมาติกาสร้างบริษัทนี้ขึ้นมา เธอรู้ว่ามันมีค่า มีความหมาย และไม่ต่างจากอนุสรณ์ความรักและเป็นตัวแทนของมาติกา…พ่อเธอรักบริษัทและทุ่มเททุกอย่างให้กับมันมายาวนานกว่ายี่สิบปี ไม่มีทางที่ท่านจะอยากเห็นมันถูกทำลายหรือล่มสลายลงมาต่อหน้าต่อตาหรอก
“แต่พลีสกะว่าจะอยู่บ้านเตรียมการสอนให้เด็กๆ”
“น้องพลีสเรียนทางนี้มาโดยตรง คลาสเด็กๆ นี่ก็สอนมานานแล้วนี่นา คงไม่ต้องเตรียมตัวนานหรอกมั้ง กลับจากบริษัทค่อยมาเตรียมตัวก็ได้ เดี๋ยวพ่อจะบอกพี่ภักดิ์เขาให้ว่าอย่าพาเรากลับมาเย็นมาก” พิธานตะล่อมด้วยเหตุผลที่หญิงสาวไม่อาจหาข้ออ้างใดๆ มาบ่ายเบี่ยงได้อีกแล้ว
ท่านฉลาดและหาข้อมูลมารอบด้านสมกับเป็นพ่อของเธอจริงๆ!
“น้องพลีสรีบไปแต่งตัวเถอะ อีกเดี๋ยวพี่ภักดิ์เขาจะมารับแล้ว อย่าให้เขาต้องรอนานถ้าไม่อยากให้เขามองว่าเราเป็นเด็กน้อยที่ยังไม่โต”
“ค่าาา พลีสไปก็ได้ค่ะคุณพ่อ”
ลูกสาวคนสวยทำปากยื่นใส่พิธานก่อนที่เธอจะลุกขึ้นแล้วเดินขึ้นห้องไปแต่งตัว คนเป็นพ่อได้แต่ส่ายหน้าไปมา ทว่าใบหน้ายังเต็มไปด้วยรอยยิ้มเอ็นดู ต่อให้พาขวัญจะเติบโตเป็นหญิงสาวแสนสวยในสายตาของใครต่อใคร แต่เธอก็ยังเป็นนางฟ้าตัวน้อยๆ ในสายตาท่านอยู่ดี
พาขวัญใช้เวลาแต่งตัวราวๆ ครึ่งชั่วโมงก็เดินลงมาจากชั้นบนในขณะที่พิธานนั่งรออยู่ในห้องรับแขก พอได้ยินเสียงคนเดินมาท่านจึงละสายตาจากรายการข่าวไปมองเธอ
“พ่อว่ากระโปรงของน้องพลีสสั้นไปนิดนึงนะลูก”
พิธานมองลูกสาวที่เดินมานั่งข้างๆ ร่างบางสวมเสื้อตัวเล็กเข้ารูปสีขาวแล้วทับด้วยสูทสีโอลด์โรสดูไม่เป็นทางการจนเกินไป กระโปรงสีเดียวกันกับสูทดูเข้าชุดและลงตัวดี ความจริงบริษัทของท่านเป็นบริษัทเอกชน ไม่ได้เคร่งครัดเรื่องแต่งตัว สาวๆ ในฝ่ายขายและฝ่ายประชาสัมพันธ์ออกจะแต่งตัวเปรี้ยวจนเข็ดฟันเสียด้วยซ้ำ แต่ท่านยังมองว่าลูกสาวท่านเป็นเด็กน้อยก็เลยหวงเป็นธรรมดา
“ไม่สั้นหรอกค่ะคุณพ่อ ใครๆ เขาก็ใส่กัน”
พาขวัญยิ้มประจบเพราะเธอเช็กความเรียบร้อยของชุดมาดีแล้ว กระโปรงของเธอเป็นแบบจีบรอบ ความยาวเหนือเข่าขึ้นมาแค่สองนิ้วเท่านั้นเอง และเธอก็สวมกางเกงขาสั้นไว้ข้างในด้วย
“งั้นก็ตามใจ แต่ยังไงก็เดินระวังๆ หน่อยนะ”
“ค่าาา คุณพ่อ”
ขณะที่สองพ่อลูกกำลังคุยกันอยู่นั้นรถยนต์คันหรูของภวิลก็ขับมาจอดที่หน้าบ้านวงศ์วรารมย์พอดี ร่างสูงในชุดสูทที่ดูดีและสง่างามอยู่เสมอก้าวลงจากรถก่อนจะเดินเข้ามาในบ้าน ชายหนุ่มยกมือไหว้พิธานแล้วหันไปมองร่างบางข้างกายท่านซึ่งเธอก็มองเขากลับมาด้วยสายตาที่…น่าจะยังเคืองเขาอยู่
“น้องพลีสไปกับพี่ภักดิ์เขาแล้วอย่าดื้ออย่าซนให้พี่เขาปวดหัวนะ ถ้าไม่ช่วยงานพี่เขาแล้วยังสร้างปัญหาอีก กลับมาพ่อจะดุให้” พิธานเตือนลูกสาวติดตลกจนเธอทำหน้ามุ่ยใส่
“คุณพ่อ! พลีสไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะคะ พลีสอายุยี่สิบห้าปีแล้ว เป็นถึงคุณครู มีลูกศิษย์ลูกหาแล้ว วัยนี้เขาไม่ดื้อไม่ซนกันแล้วค่ะ” คนไม่ดื้อไม่ซนรีบออกตัวเป็นการใหญ่
พิธานยิ้มขำพลางคิดในใจว่าคนโตแล้วที่ไหนเขาจะเที่ยวทำแก้มป่องใส่คนอื่นแบบนี้
“ฝากน้องด้วยนะภักดิ์ คิดซะว่าน้องพลีสเป็นเด็กฝึกงานในความดูแลของภักดิ์ จะใช้งาน จะดุ หรือจะเตือนอะไรก็ได้ ฉันอนุญาตตามที่ภักดิ์เห็นสมควร” พิธานหันไปพูดกับชายหนุ่ม
“คุณพ่อ!” พาขวัญโวย
“ไปกันได้แล้วไป สายแล้ว” พิธานพูดต่อราวกับไม่เห็นสายตาคัดค้านของลูกสาว “ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรมาบอกฉันนะภักดิ์ เดี๋ยวฉันจัดการเด็กไม่ดื้อไม่ซนแถวนี้ให้เอง”
“ครับคุณท่าน”
ภวิลรับคำก่อนจะค้อมตัวเล็กน้อยเพื่อเชิญให้พาขวัญเดินไปขึ้นรถอย่างให้เกียรติเธอ แม้จะขุ่นเคืองใจที่บิดาให้สิทธิ์ขาดภวิลในการดูแลเธอ แต่หญิงสาวก็เดินไปขึ้นรถโดยไม่โต้แย้งอะไรอีก
ขืนเถียงมากๆ เข้า เดี๋ยวจะถูกหาว่าเป็นเด็กงอแงอีก!
ชายหนุ่มมองตามหลังร่างบางไป ความจริงเขาก็นึกชื่นชมเธออยู่หรอกว่าเลือกเสื้อผ้าได้เหมาะกับตัวเอง เวลาอยู่ในชุดทำงานแล้วดูสวยและน่ารักดี แต่กระโปรงสั้นจีบรอบที่เธอสวมนี่มันขัดใจเขาจริงๆ
ยิ่งพอเธอใส่รองเท้าส้นสูงเข้าไปแล้ว กระโปรงที่ไม่สั้นมันก็ดูสั้นขึ้นอย่างบอกไม่ถูก เวลาก้มๆ เงยๆ นี่เรียวขาสวยและขาวผ่องของเธอคงทำให้หนุ่มๆ ที่พบเห็นหัวใจแทบวายไปตามๆ กันเป็นแน่
ภวิลเก็บความรู้สึกนั้นไว้ก่อนจะเดินตามไปขึ้นรถแล้วขับออกไปโดยไม่ได้พูดอะไรกับคนที่นั่งมาด้วย และพาขวัญก็ยังไม่คิดจะคุยอะไรกับเขาเช่นกัน เธอยังรู้สึกไม่ดีอยู่เรื่องที่เขาจูบกับจารวี
“พี่ภักดิ์คงไม่คิดจะใช้งานพลีสอย่างที่คุณพ่อบอกจริงๆ หรอกนะคะ”
ในที่สุดพาขวัญก็ตัดสินใจเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาขึ้นก่อนทั้งๆ ที่ยังไม่อยากคุยกับเขา แต่…หญิงสาวจำเป็นต้องตกลงกับเขาก่อน ไม่อย่างนั้นชายหนุ่มอาจจะฉีกหน้าเธอต่อหน้าพนักงานคนอื่นก็เป็นได้ เธอไม่อยากให้ใครเอาไปพูดได้ว่าพิธานไม่สอนงานให้ลูกสาวอย่างเธอเลย
“ผมคิด” ภวิลตอบไปตามตรง ที่จริงเขาไม่ได้อยากจะทำตัวโหดกับพาขวัญตั้งแต่วันแรก แต่เธอพูดขึ้นมาอย่างนั้นก็ดีแล้ว เขาจะเตือนเรื่องกระโปรงของเธอ “คุณท่านบอกว่าผมสามารถตักเตือนคุณพลีสได้ตามที่ผมเห็นสมควร และอย่างแรก…ผมเห็นสมควรว่าคงต้องจัดระเบียบคุณพลีสตั้งแต่เรื่องแต่งตัว”
“ทำไมคะ”
“ผมว่ากระโปรงของคุณพลีสสั้นไป งานที่บริษัทไม่ใช่งานแฟชั่นโชว์”
“แต่สำหรับผู้หญิงแล้วทุกที่คือรันเวย์” เธอเถียง
“แต่คุณพลีสมาทำงาน ไม่ใช่มาเป็นนางแบบ และผมต้องการคนทำงานที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่าเซ็กซี่” ภวิลพูดต่อโดยไม่หันไปมองคนข้างๆ ทั้งๆ ที่เธอกำลังจ้องเขาตาเขียว
“แต่ข้างในมันมีกางเกงขาสั้นอีกชั้นนะคะ มันไม่ได้โป๊เลย!”
ภวิลเห็นด้วยในเรื่องที่ว่าผู้หญิงมีสิทธิ์ที่จะแต่งตัวยังไงก็ได้ตามความพอใจของตัวเอง แต่เขาคิดว่าพาขวัญก็ต้องป้องกันตัวเองจากสายตาผู้ชายเช่นกัน ต่อให้เธอสวมกางเกงขาสั้นไว้ข้างใน แต่มันก็คงสั้นมากและแนบไปกับเรือนร่าง ยังไงภวิลก็ไม่อยากให้ผู้ชายคนไหนได้เห็นและจินตนาการถึงเธอในแง่นั้น
“ต่อไปนี้ถ้าคุณพลีสมาที่บริษัทกับผม กระโปรงที่สั้นที่สุดขอให้ยาวคลุมเข่า กระโปรงจีบรอบก็ห้าม เพราะมันคงไม่เวิร์กแน่ถ้าวันไหนมีพายุ แล้วก็ห้ามใส่เสื้อคอลึกคอเว้า เพราะคุณพลีสคงไม่ชอบถ้าจะมีผู้ชายมองหน้าอกเวลาคุณพลีสก้มลงหยิบของ” ภวิลร่ายยาวจนคนฟังได้แต่ทำตาโต
“คนบ้าอำนาจ” เธอบ่นทันที
“เสื้อผ้าที่บางเกินไปก็ห้ามด้วย” เขาพูดต่อเหมือนไม่ได้ยินที่เธอค่อนขอด
“พี่ภักดิ์!” พาขวัญแทบจะยกมือขึ้นทึ้งผมตัวเอง
ด้วยความที่พิธานทักเรื่องกระโปรงของเธอก่อนเป็นคนแรก พอเจอภวิลออกคำสั่งแบบนี้เธอก็ยิ่งคิดว่าพ่อคงป้อนโปรแกรมเขาไว้แน่ๆ เขาถึงได้มาไล่บี้เอากับเธออีก ชายหนุ่มช่างเป็นหุ่นยนต์ที่ตอบสนองคำสั่งของผู้คุมระบบได้ดีจริงๆ นี่เขาจัดระเบียบเธอยิ่งกว่านักเรียนมัธยมเสียอีก
“ผมคิดว่าคุณท่านก็น่าจะเห็นด้วยในเรื่องนี้”
ชายหนุ่มไม่เปิดโอกาสให้พาขวัญได้เถียง เขาทำเป็นโหดทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเขาหวงเธอและกลัวว่าตัวเองจะห้ามใจไม่ไหวจนเผลอแสดงความรู้สึกที่มีต่อเธอออกไป
“พลีสไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ภักดิ์ต้องมาเข้มงวดกับพลีสถึงขนาดนี้”
พาขวัญถอนหายใจและจ้องหน้าเขา เธอคิดว่าผู้หญิงมีสิทธิ์ที่จะแต่งตัวยังไงก็ได้หากถูกกาลเทศะ ผู้ชายควรเรียนรู้ที่จะให้เกียรติผู้หญิง ไม่ใช่อะไรๆ ก็โยนให้แค่ผู้หญิงรับผิดชอบฝ่ายเดียว
“ผมแค่ไม่อยากให้ใครมองว่าคุณพลีสแต่งตัวโป๊”
“โป๊เหรอคะ” พาขวัญเริ่มโกรธเพราะภวิลใช้คำพูดรุนแรงเกินไปราวกับว่าเธอจะแต่งตัวไปยั่วใคร “ถ้าพลีสแต่งตัวโป๊แล้วคู่ขาของพี่ภักดิ์เรียกว่าอะไร กระโปรงของพลีสยังสั้นไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเธอเลย”
ที่จริงพาขวัญไม่อยากพาดพิงถึงจารวี แต่ภวิลทำให้เธอหมั่นไส้จนยั้งปากไม่อยู่ เขาสั่งห้ามเธอต่างๆ นานา แต่ผู้หญิงของเขากลับได้อภิสิทธิ์ ทำไมไม่ไปตักเตือนคนของตัวเองบ้าง
“จารวีไม่ใช่คู่ขาของผม” ภวิลพูดขึ้นหลังจากต่างคนต่างเงียบ เพราะเขาให้เวลาเธอปรับสภาพจิตใจให้เย็นลงก่อน “ผมกับเธอเคยคบกันอยู่ช่วงหนึ่ง แต่เราเลิกกันมาได้เกือบปีแล้ว”
“แต่วันนั้นพี่ภักดิ์จูบกับเธอ และพลีสเห็นมากับตา”
“ผมไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ แต่มันเป็นจูบที่ไม่ได้เกิดจากความรักหรืออารมณ์แบบนั้น” ภวิลอยากบอกความจริงกับพาขวัญอย่างตรงไปตรงมา แต่ก็ไม่อยากให้จารวีเสียหายจึงพูดอ้อมๆ “หลังจากเลิกกันผมกับวีก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เราจบกันอย่างเข้าใจว่าผมไม่สามารถไปต่อกับเธอได้ แต่เธออาจยังมีเยื่อใยกับผมอยู่ พอเธอรู้เรื่องของเรา…เธอก็เลยมาคุยกับผม เธอคิดว่าผมกับเธออาจมีโอกาสกลับมาคบกันอีก”
“จะบอกว่าเธอเป็นฝ่ายจูบพี่ภักดิ์เพราะเธออยากรั้งพี่ภักดิ์เอาไว้งั้นเหรอคะ”
“แล้วหลังจากคุณพลีสออกจากห้องไป ผมก็คุยกับเธอจนเข้าใจแล้วว่าระหว่างเราเป็นมากกว่าเพื่อนร่วมงานไม่ได้ และเธอรับปากว่ามันจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีก”
“แล้วพี่ภักดิ์ล่ะคะ”
“ผมทำไม”
“คุณวีพูดว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีก แล้วพี่ภักดิ์ล่ะจะทำให้มันเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีกมั้ย” พาขวัญหันไปมองคนตัวสูงขณะที่รถวิ่งมาจอดติดไฟแดงพอดี
“ผมจะทำอย่างนั้นได้ยังไงในเมื่อผมรับปากคุณท่านแล้ว…เรื่องของเรา”
ภวิลยังคงตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำนิ่งเรียบ แต่คราวนี้เขาละสายตาจากการจราจรเบื้องหน้ามาสบสายตากับคนข้างกาย ดวงตาสีฟ้าคมกริบคู่นั้นมองเธออย่างแน่วแน่และมั่นคง
ชั่วขณะนั้นหัวใจของพาขวัญเต้นแรงสั่นไหวโดยที่เธอไม่อาจควบคุม แต่เธอก็ให้เหตุผลกับตัวเองว่าเธอสบตาเขาอย่างไม่ทันตั้งตัวจึงไม่ได้เตรียมใจจะรับมือกับดวงตาทรงเสน่ห์คู่นี้
“คุณพลีสอย่าโกรธผมเลย”
ภวิลละมือจากพวงมาลัยแล้วใช้มันกุมมือบอบบางของหญิงสาวเบาๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พาขวัญถูกจับมือ แต่หัวใจเธอกลับเต้นแรงและมือเย็นเฉียบกับเขาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เขามองสบตาเธอโดยไม่ยอมละห่างและเป็นเธอที่ต้องยอมแพ้
“ไฟเขียวแล้วค่ะ พี่ภักดิ์ออกรถได้แล้ว”
ร่างบางเมินหน้าไปมองทางอื่น ภวิลจึงหันไปขับรถต่อ แต่มือเย็นเฉียบที่บอกอาการประหม่าและใบหน้าแดงระเรื่อแสดงความเขินอายของพาขวัญทำให้เขามีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเลย
เช้านี้…อากาศสดใสจริงๆ
การประชุมเริ่มขึ้นตอนเก้าโมงเช้าที่ห้องประชุมใหญ่เพราะวันนี้แต่ละทีมจะต้องเข้ามาสรุปงานและรับงานจากภวิล บริษัทวงศ์วรารมย์เป็นบริษัทออร์แกไนเซอร์ขนาดใหญ่ มีหลายทีมเพื่อรับงานอย่างหลากหลายและต่อเนื่อง ซึ่งในแต่ละทีมจะมีสมาชิกหลายคนแบ่งหน้าที่กัน แต่คอยช่วยเหลือกัน หากเป็นอีเวนต์ใหญ่ๆ อาจจะมีการรวมทีมเกิดขึ้นตามความเห็นชอบของภวิลและผู้ร่วมงาน
ภวิลยืนอยู่ที่หัวโต๊ะประชุม กรกนกนั่งอยู่ที่เก้าอี้ฝั่งซ้ายมือของเขา พาขวัญนั่งข้างๆ กรกนก ส่วนตรงกันข้ามเลขาฯ สาวคืออติกันต์ที่วันนี้ก็มาร่วมประชุมด้วย และเก้าอี้ตัวอื่นๆ คือทีมงานฝ่ายต่างๆ
“งานเปิดตัวน้ำหอมในเดือนหน้า ทีมคุณรับไปทำก็แล้วกัน เพราะงานที่แล้วเจ้าของงานเขาพอใจมาก น่าจะดีลงานได้ง่าย” ภวิลแจงงานใหม่ที่บริษัทเพิ่งรับมาให้กับทีมต่างๆ
“จะไม่เป็นการผูกขาดเกินไปเหรอ” อติกันต์แย้งขึ้นมาทันที “ให้ทีมงานเดิมรับงานจากลูกค้าเดิมอาจจะคุยกันนอกรอบแล้วมีนอกมีในหรือเปล่า อีกอย่างน่าจะสลับทีมใหม่ไปทำจะได้มีไอเดียใหม่ๆ บ้าง”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไงลูกค้าก็ดีลตรงกับผมอยู่แล้ว” ภวิลตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แม้จะไม่พอใจที่อติกันต์พูดโพล่งขึ้นมาโดยไม่รักษาน้ำใจทีมงาน อีกฝ่ายพูดราวกับว่าทีมงานจะโกงทั้งๆ ที่ไม่มีหลักฐานอะไรเลย และตัวอติกันต์เองก็แทบไม่เคยสัมผัสงานด้วยซ้ำ “ส่วนงานเปิดตัวคอนโดฯ ที่เชียงรายผมจะให้ทีมคุณทำนะครับ ลูกค้ารายนี้ยังไม่เคยดีลกับเรา เขาติดต่อมาว่าสนใจ แต่อยากคุยรายละเอียดก่อน เขาคงมีตัวเลือกอยู่ในใจหลายเจ้า เราอาจจะต้องวางแผนงานดีๆ ไปนำเสนอ อีกสามวันผมขอฟังไอเดีย”
ภวิลมอบหมายงานใหม่ให้กับอีกทีม ขณะนั้นก็มีพนักงานคนหนึ่งยกมือขึ้น
“ว่าไง” ชายหนุ่มอนุญาตให้อีกฝ่ายพูด
“งานอีเวนต์เปิดตัวลิปสติกแบรนด์ใหม่ในวันมะรืนนี้มีปัญหาค่ะ คุณ ‘ญาดา’ ที่เราเคยขอคิวเธอไว้จู่ๆ ก็ให้ผู้จัดการโทรมาแคนเซิลเมื่อกี้นี้เอง ดิฉันพยายามขอร้องให้เธอมาร่วมงานกับเราก่อน เธอก็บ่ายเบี่ยงบอกว่ากองถ่ายให้มาไม่ได้จริงๆ แต่ที่จริงเธอน่าจะรับอีเวนต์อื่นที่อาจให้ค่าตัวสูงกว่า”
“บอกเธอว่าถ้าเธอไม่มาเราจะเปลี่ยนแขกรับเชิญเป็นกมลกานต์…แค่นี้เธอก็น่าจะให้คิวเราแล้ว คุณออกไปโทรคุยกับเธอเดี๋ยวนี้เลยครับ ก่อนที่เธอจะรับงานฝ่ายโน้นก่อน”
ภวิลบอกอย่างมั่นใจว่ายังไงญาดาก็ต้องเปลี่ยนใจมางานนี้แน่นอน ญาดาเป็นนางเอกตัวแม่ในวงการบันเทิง ในอดีตเธอคือเบอร์หนึ่งของช่องยี่สิบสามและครองบัลลังก์มาอย่างยาวนาน แต่ไม่นานมานี้เพิ่งแตกคอกับอิชยะ เมื่อหมดสัญญาเธอจึงไปเซ็นสัญญากับช่องคู่แข่งเพื่อตอกหน้าเพื่อนเขา
อิชยะแก้เกมด้วยการปั้นกมลกานต์ขึ้นมาแทนที่ญาดา และดูเหมือนว่าตอนนี้กมลกานต์ก็กำลังมาแรงมากจนบัลลังก์ของนางเอกตัวแม่อย่างญาดาสั่นสะเทือน แล้วในงานเปิดตัวลิปสติกวันมะรืนนี้หากกมลกานต์มาแทนที่แล้วได้ใจลูกค้าไปครองก็คงปาดงานญาดาไปได้อีกหลายงานเลยทีเดียว
ไม่มีทางที่ญาดาจะยอมให้คู่แข่งคนสำคัญมาแทนที่เธอได้หรอก
“ถ้าเกิดญาดาไม่สนใจก็ไม่เท่ากับต้องเปลี่ยนคนจริงๆ เหรอ แล้วจะเอาคิวกมลกานต์มาได้ยังไง ลูกค้าจะว่ายังไงที่จู่ๆ เราก็เปลี่ยนแขกรับเชิญกะทันหันทั้งๆ ที่เราคุยกับเขาเอาไว้แล้ว” อติกันต์แย้งอีก
“ผมเคยร่วมงานกับญาดามาก่อน ผมรู้ว่าเธอไม่มีทางยอมให้กมลกานต์รับงานนี้แทนเธอหรอก คุณกันต์ไม่ต้องกังวล” ภวิลตอบโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
กรกนกซึ่งอายุพอๆ กับอติกันต์และทำงานมาก่อนภวิลมองสบตาเขาเหมือนจะเตือนให้เขารับมือกับอติกันต์ให้ดีๆ ประสบการณ์ที่ผ่านมาบอกเธอว่าวันนี้อติกันต์มาเพื่อขัดเขาโดยเฉพาะ
ชายหนุ่มพยักหน้าให้กรกนกเบาๆ เป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงเพราะเขารับมือไหว แต่…คนที่ไม่ไหวเห็นจะเป็นพาขวัญที่นั่งข้างๆ กรกนก เพราะหลังจากนั้นก็ยังมีมติประชุมที่เคร่งเครียดและการโต้เถียงกันไปมาระหว่างภวิลกับอติกันต์อีกหลายประเด็นจนหญิงสาวมึนศีรษะและแทบทนนั่งฟังต่อไปไม่ไหว หากไม่ติดว่าเธอเห็นแก่หน้าพิธาน เธอคงขอยาดมมาสูดกลางห้องประชุมไปแล้ว
งานที่บริษัทมันไม่ใช่ทางของเธอจริงๆ!
“ไหวมั้ย…”
ภวิลถามพาขวัญภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมในเวลาเกือบเที่ยงครึ่ง ทุกคนทยอยเดินออกไปเกือบหมดแล้ว แต่ร่างบางยังนั่งอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าเหมือนคนที่ไม่ค่อยสบายนัก
การประชุมทำให้พาขวัญเครียดจนเวียนศีรษะแทบอยากจะอาเจียน แต่ภวิลกลับรับมือได้ทุกปัญหาราวกับว่าเป็นเรื่องปกติที่เขาต้องเจอทุกวันและมันไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรเลย
“ไหวค่ะ พลีสแค่หน้ามืดนิดหน่อย”
หญิงสาวฝืนยิ้มให้คนตัวสูงเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืนโดยมีภวิลคอยมองตามอย่างระมัดระวังอยู่ไม่ห่าง เขาทำราวกับว่าหากเห็นเธอเซเมื่อไหร่ก็จะรีบเข้ามาประคองทันที
“น้องพลีสออกไปทานอาหารข้างนอกกับอามั้ย” อติกันต์เห็นว่าภวิลแสดงท่าทีห่วงใยและพยายามหาทางใกล้ชิดพาขวัญจึงพยายามดึงเธอให้ออกห่างจากอีกฝ่าย
“ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ พลีสอยากนั่งพักสักหน่อย คุณอาไปทานข้าวเถอะค่ะ”
พาขวัญบอกอย่างเกรงใจ เธอพอจะรู้ว่าปกติแล้วอติกันต์ไม่ได้เข้าบริษัททั้งวัน บางวันก็ไม่เข้ามา แต่วันนี้เธอจะมาประชุมด้วย เขาก็คงอยากมาเป็นเพื่อน ถ้าต้องให้เขามาดูแลหญิงสาวต่อ เธอก็รู้สึกเกรงใจจริงๆ
“งั้นไปนั่งพักที่ห้องทำงานของอาดีมั้ย”
“พลีสไม่รบกวนคุณอาดีกว่าค่ะ”
“แล้วจะไปนั่งพักที่ไหน ห้องทำงานของนายภักดิ์เหรอ” น้ำเสียงของอติกันต์ดุขึ้นราวกับเริ่มไม่พอใจ “เกรงใจอา แต่ไม่เกรงใจนายภักดิ์หรือไง สนิทกับนายภักดิ์ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เปล่าค่ะ แต่คุณพ่อฝากพี่ภักดิ์ให้ดูแลพลีสแล้วนี่คะ”
พาขวัญบอกไปตามที่คิด ถ้าให้เธอเลือกระหว่างไปอยู่ห้องทำงานของอติกันต์กับห้องทำงานของภวิล เธอเลือกไปที่ห้องภวิลดีกว่า แม้ว่าเธอจะรู้สึกไม่ค่อยดีกับห้องนั้นเพราะเคยเห็นภวิลจูบกับจารวีที่นั่น แต่ก็คงดีกว่าให้เธอต้องทนอึดอัดเวลาอยู่กับอติกันต์ที่ตอนนี้พยายามทำดีกับเธอเพราะมีแผนการบางอย่าง
น่าแปลกที่แม้จะอยู่ร่วมบ้านกันมานานและเคยคิดว่าคุ้นเคยกับอติกันต์มากกว่าภวิล แต่เธอกลับรู้สึกปลอดภัยและสบายใจมากกว่าเวลาอยู่กับภวิล…อาจเพราะช่วงหลังๆ เธอได้เจอกับชายหนุ่มมากขึ้นก็ได้
“ตามใจ เรามันเด็กดี เชื่อฟังคำสั่งพี่พิธานเขาทุกอย่างอยู่แล้วนี่”
อติกันต์ทิ้งท้ายอย่างประชดประชันก่อนจะเดินออกไปอย่างไม่ค่อยพอใจนัก ทิ้งให้พาขวัญได้แต่ยืนทำหน้างงและพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“แค่นี้ทำไมต้องโกรธด้วยนะ”
“คุณภักดิ์กับคุณพลีสมีอะไรให้ดิฉันช่วยหรือเปล่าคะ” กรกนกที่ยืนรอรับคำสั่งเจ้านายถามเมื่ออติกันต์ออกไปแล้ว ยิ่งเห็นท่าทีของอติกันต์ในวันนี้เธอยิ่งเป็นห่วงเจ้านายอย่างบอกไม่ถูก
เธอรู้…คนอย่างอติกันต์ทำทุกอย่างได้เพื่อตัวเอง แม้ว่าจะต้องทำร้ายคนอื่นก็ตาม
“ไม่มีอะไรแล้วล่ะครับ คุณนกไปพักเถอะ เดี๋ยวผมดูแลคุณพลีสเอง”
“ค่ะคุณภักดิ์ แต่ถ้ามีอะไรก็โทรบอกดิฉันได้เลยนะคะ”
กรกนกบอกแล้วเดินออกจากห้องประชุมไป พาขวัญสูดลมหายใจลึกๆ แล้วระบายออกเหมือนพยายามขับไล่ความตึงเครียดก่อนจะเดินออกจากห้องประชุมบ้าง
ภวิลสาวเท้ายาวๆ เดินแซงมาเปิดประตูให้ราวกับเป็นหน้าที่ จนพาขวัญอดแปลกใจไม่ได้ว่าเขาดูแลเธอดีเกินไปจนแทบจะพูดได้ว่าถ้าเธอขี้เกียจเดิน เขาก็คงยินดีจะอุ้มเธอแน่ๆ แต่พอคิดมาถึงตรงนี้หญิงสาวก็หัวใจเต้นแรงและใบหน้าร้อนผ่าวจนอดต่อว่าตัวเองในใจไม่ได้ว่าอยู่ดีๆ ภวิลจะมาอุ้มเธอทำไม
เพ้อเจ้อไม่เข้าเรื่อง!