ทดลองอ่าน ออดอ้อน… เพียงเธอ บทนำ-บทที่2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

LOVE

ทดลองอ่าน ออดอ้อน… เพียงเธอ บทนำ-บทที่2

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทนำ

ฝังใจ

 

‘Please, love me’

หัวใจเขา…ออดอ้อนเพียงเธอ

 

“ที่จริงคุณท่านน่าจะค้างที่พัทยาก่อนนะครับ”

ในกลางดึกคืนหนึ่ง ‘วิชัย’ ขับรถฝ่าสายฝนเพื่อพาเจ้านายอย่าง ‘พิธาน วงศ์วรารมย์’ กลับกรุงเทพฯ หลังจากจบงานเปิดตัวโรงแรมหรูแห่งใหม่และร่วมทานอาหารเย็นกับลูกค้าเรียบร้อย แต่กว่างานจะจบก็เกือบสามทุ่มเข้าไปแล้วทำให้ทั้งสองคนได้ออกจากพัทยาตอนเกือบห้าทุ่มครึ่ง

“ไม่ได้หรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้น้องพลีสตื่นมาไม่เจอฉันก็งอแงอีก” ไม่ใช่พิธานไม่รู้ว่าเดินทางตอนกลางคืนในขณะที่ฝนตกหนักมันอันตราย แต่ก็เป็นห่วงลูกสาววัยสามขวบที่ติดท่านอย่างกับอะไร “นายขับรถระวังๆ ก็แล้วกัน ไม่ต้องรีบก็ได้ มันอันตราย และถ้าไม่ไหวก็บอกฉัน จะได้สลับกันขับ”

“ครับคุณท่าน” วิชัยรับคำ

เมื่อได้ฟังเหตุผลของพิธานแล้วเขาก็เข้าใจอีกฝ่าย…นับแต่ ‘มาติกา’ ภรรยาสุดที่รักจากไปเพราะมีโรคภัยรุมเร้ามากมายเนื่องจากร่างกายที่อ่อนแอ พิธานก็ทุ่มเทความรักให้กับ ‘พาขวัญ’ ผู้เป็นลูกสาวอย่างเต็มที่

แม้ว่าบริษัทออร์แกไนเซอร์ที่ท่านสร้างขึ้นมาจะงานหนักและกำลังรุ่งเรืองแค่ไหน แต่ท่านก็ไม่เคยละเลยและไม่เคยไม่ให้เวลากับลูกสาว อย่างน้อยๆ พาขวัญก็ต้องได้เห็นหน้าท่านในทุกเช้า

เอี๊ยดดด!

ทว่า…รับคำได้เพียงไม่กี่นาทีวิชัยก็ต้องเหยียบเบรกอย่างกะทันหันเพราะจู่ๆ ก็มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งวิ่งผลุนผลันออกมาจากข้างทาง แต่ยังโชคดีที่เขาเหยียบเบรกทันรถจึงไม่ได้พุ่งเข้าชนอีกฝ่าย

“ฉันบอกแล้วไงว่าให้ระวัง” พิธานตำหนิ

“ผมขอโทษครับ” วิชัยยอมรับผิดอย่างไม่โต้เถียง

“ลงไปดูก่อนเถอะ ไม่รู้เด็กคนนั้นเป็นยังไงบ้าง”

เจ้านายเป็นฝ่ายตั้งสติได้ก่อนก็ตัดบทแล้วรีบก้าวลงจากรถ ท่านคิดว่าตำหนิวิชัยไปก็ไม่มีประโยชน์เพราะอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจและคงเหนื่อยล้าจากการขับรถถึงได้ประมาทไปบ้าง

ท่ามกลางสายฝนทั้งสองคนเห็นว่าเด็กชายคนดังกล่าวล้มอยู่บนพื้นถนนข้างหน้ารถ และกำลังลุกขึ้นยืน ขาที่ซูบผอมทั้งสองข้างถลอกจนมีเลือดไหลซึ่งน่าจะเป็นผลจากการล้มลงบนถนนเอง ไม่ได้ถูกรถเฉี่ยวชนแต่ประการใด เพราะรถจอดอยู่ห่างจากอีกฝ่ายเกือบเมตร ถึงกระนั้นท่านก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้

“เป็นอะไรหรือเปล่า” พิธานถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“มะ…ไม่เป็นไร” เด็กชายตอบเสียงสั่น

จากนั้นเด็กชายก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองพิธานด้วยความหวาดกลัวทำให้ท่านเห็นว่าใบหน้าของอีกฝ่ายมีส่วนผสมของเชื้อสายไทยและตะวันตก ดวงตาสีฟ้าที่มองมามีแต่ความหวาดระแวงราวกับกลัวว่าจะถูกทำร้าย ไม่เพียงเท่านั้นยังมองหน้ามองหลังอย่างตื่นตระหนกเหมือนเพิ่งจะวิ่งหนีใครมา

ตอนนั้นเองพิธานถึงได้สังเกตว่าตามตัวเด็กชายมีรอยฟกช้ำราวกับถูกทำร้ายร่างกายมา ที่มุมปากก็เป็นรอยเหมือนถูกต่อย สภาพของเด็กชายน่าเวทนาจนท่านถึงกับชะงักไปหลายวินาที

“ไม่รู้เป็นเด็กจรจัดที่ไหนหรือเปล่านะครับ”

วิชัยไม่ไว้ใจ เพราะจู่ๆ เด็กคนนี้ก็โผล่ออกมาจากข้างทางเปลี่ยวๆ จริงอยู่ว่าอีกฝ่ายอายุไม่น่าจะเกินสิบสามปีและคงทำอันตรายเขากับเจ้านายไม่ได้ แต่อาจจะเป็น ‘นกต่อ’ ให้โจรก็ได้

พิธานไม่ได้ประมาท ท่านมองเด็กชายตรงหน้าอีกครั้งด้วยรู้ว่าวิชัยกำลังคิดอะไร และท่านคิดว่ามันมีความเป็นไปได้ที่เด็กคนนี้จะเป็นนกต่อให้โจร แต่ท่านก็เชื่อในสัญชาตญาณของตนเองว่าเด็กคนนี้ไม่น่าจะนำอันตรายหรือภัยใดๆ มาให้ท่านได้ เพราะดวงตาคู่นั้นบอกได้ว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะเป็นพิษเป็นภัยกับใครได้

ที่สำคัญร่างกายที่ซูบผอมนั้นมีแต่รอยฟกช้ำ ใบหน้าก็บอบช้ำไม่ต่างกัน ท่าทางเหมือนเพิ่งถูกทำร้ายมาด้วยซ้ำ สภาพน่าสงสารขนาดนี้คงทำร้ายใครไม่ได้หรอก

“เราเป็นใคร มาจากไหน หลงทางมาเหรอ บ้านอยู่ที่ไหนเดี๋ยวฉันให้คนไปส่ง”

พิธานถาม อันที่จริงท่านจะไม่สนใจแล้วขึ้นรถกลับกรุงเทพฯ ไปเลยก็ย่อมได้ แต่การทิ้งเด็กคนหนึ่งที่บาดเจ็บเอาไว้คนเดียวท่ามกลางสายฝนในตอนกลางดึกเช่นนี้ก็ดูจะใจร้ายเกินไป

“ไม่! ไม่! ผมไม่กลับบ้าน!”

เด็กชายตอบด้วยท่าทางหวาดกลัวพลางก้าวถอยหลังไปอย่างลนลานเพียงแค่ได้ยินคำว่า ‘บ้าน’ ราวกับว่าที่นั่นเป็น ‘ขุมนรก’ ที่เขาจะไม่มีวันหวนย้อนกลับไปเด็ดขาด

“ถ้าอย่างนั้นฉันจะพาไปสถานีตำรวจก็แล้วกัน เดินอยู่แถวนี้คนเดียวมันอันตราย”

“ผมไม่ไปสถานีตำรวจนะ!” น้ำเสียงของเด็กชายร้อนรนยิ่งขึ้นไปอีก

“จะพาไปส่งบ้านก็ไม่ไป จะพาไปหาตำรวจก็กลัวจนลนลาน ไปทำความผิดอะไรมาหรือเปล่าเนี่ย หรือว่าไปขโมยของของใครมา” วิชัยถามไปตามตรงเพราะท่าทางของอีกฝ่ายดูไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย

“ผมเปล่านะ ผมแค่ไม่อยากกลับบ้าน!” เด็กชายรีบส่ายหน้าปฏิเสธ

“แล้วเราจะไปที่ไหน” พิธานถามต่อ

คราวนี้เด็กชายเงียบไป ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความสับสน ก่อนที่เจ้าตัวจะก้มหน้าลงอย่างไร้หนทาง พิธานมองหน้าวิชัยราวกับขอความเห็น ขณะนั้นเอง ดูเหมือนเด็กชายจะเริ่มหวาดระแวงและไม่ไว้ใจจึงพยายามวิ่งหนี วิชัยเห็นว่ายังคุยกันไม่จบก็เลยวิ่งตามไปจับตัวไว้ก่อน

เผื่อว่าถ้าเป็นนกต่อให้โจรขึ้นมาจริงๆ จะได้จับไปส่งตำรวจ

“อย่า! อย่าทำอะไรผมนะ! ปล่อยผม!!!”

เด็กชายตะโกนลั่นด้วยความหวาดกลัว ดวงตาที่เหมือนอมทุกข์มาเป็นปีเบิกกว้าง สีหน้าตื่นตระหนกราวกับหวาดระแวงทุกคนที่เข้าใกล้ พอวิชัยเอื้อมมือออกไปจับมืออีกข้างไว้ เด็กชายก็ยิ่งตัวสั่นเทา ปากคอสั่นระริก และตกใจอย่างรุนแรงจนในที่สุดก็หมดสติไปต่อหน้าต่อตาทั้งสองคน

 

บรรยากาศยามเช้าหลังฝนตกช่างแสนสดใส ภายในบ้านสีขาวหลังใหญ่สไตล์ตะวันตกที่ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว้างขวางแห่งนี้เป็นเสมือนวิมานของนางฟ้าตัวน้อยอย่างพาขวัญที่ตื่นมารับความสดชื่น

เธอเดินเล่นไปทั่ว และเมื่อแม่บ้านกับสาวใช้ต่างวุ่นวายกับการเตรียมตั้งโต๊ะอาหารเช้าจนไม่มีคนเล่นด้วย เด็กหญิงวัยสามขวบที่กำลังซนก็เดินเรื่อยเปื่อยไปทางสวนหน้าบ้าน

“คุณพลีส! คุณพลีสอยู่ไหนคะ”

แม่บ้านวัยสามสิบเอ็ดปีส่งเสียงเรียกหานางฟ้าน้อยหลังจากสังเกตได้ว่าไม่เห็นเด็กหญิงในรัศมีสายตา ‘รุจาภา’ เป็นภรรยาของวิชัย ทั้งสองคนคอยรับใช้มาติกากับพิธานมาตั้งแต่พาขวัญยังอยู่ในท้อง

ด้วยอายุที่ไล่เลี่ยกันทำให้รุจาภาสนิทกับมาติกาเหมือนเพื่อน การจากไปของมาติกาสร้างความเสียใจให้กับเธอไม่แพ้ใคร รุจาภาจึงตั้งใจว่าจะดูแลลูกสาวของเจ้านายอย่างดีที่สุด

“คุณพลีสคะ ไปเล่นซนที่ไหนคะเนี่ย”

ต่อให้รุจาภาส่งเสียงเรียกแค่ไหน แต่ดูเหมือนเจ้าของชื่อจะไม่สนใจเสียงนั้นเลยสักนิด ร่างจ้ำม่ำยังคงเดินไปทางสวนหน้าบ้านราวกับต้องการรับอากาศบริสุทธิ์ในยามเช้า กระทั่งดวงตากลมโตใสแป๋วมองเห็นใครคนหนึ่งนั่งกอดเข่าพิงประตูอยู่เพียงลำพัง เธอจึงหยุดมองเพราะเขาขวางทางที่จะออกไปยังสวน

“ครายอ่ะ”

คนตัวขาวเจ้าของแก้มกลมเป็นซาลาเปาถาม แม้จะพูดยังไม่ชัดมาก แต่อีกฝ่ายก็หันมามอง เธอจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ ขณะที่ดวงตากลมโตยังมองใบหน้าของคนที่เธอไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน

“ครายอ่ะ”

พาขวัญถามคำเดิมแล้วจ้องหน้าอย่างเอาคำตอบ แต่อีกคนกลับไม่ยอมพูดอะไร

“ร้องห้ายเหรอ ร้องห้ายทามมาย ใครตีค้า”

คนที่กำลังร้องไห้ยังไม่ยอมตอบแต่เช็ดน้ำตาออกอย่างลวกๆ ทำให้เจ้าของบ้านยื่นมือน้อยๆ ออกไปช่วยเช็ดน้ำตาให้ แม้ว่านิ้วสั้นๆ ที่ทั้งอ้วนทั้งกลมนั้นจะช่วยอะไรไม่ได้มากก็ตาม

“โอ๋ๆ ม่ายร้องน้าค้า”

พาขวัญปลอบเหมือนที่พิธานเคยปลอบเธอยามร้องไห้ จากนั้นก็มองหน้าเด็กชายตรงหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่าง ก่อนที่เธอจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อตรงหน้าท้องแล้วกำอะไรบางอย่างมายื่นให้

“จินหนมๆ อาหย่อย”

คนที่เพิ่งร้องไห้รับรู้ได้ว่าเด็กน้อยคงอยากปลอบถึงได้ชวนเขากินขนม

“จินหนมๆ”

พาขวัญยังคะยั้นคะยอให้อีกฝ่ายรับของที่ตัวเองยื่นให้ เด็กชายยื่นมือไปรับลูกอมเม็ดนั้นมาถือไว้ เขายิ้มทั้งน้ำตา…โดยเฉพาะในตอนที่คนตัวเล็กยื่นมือมาหยิกแก้มเขา

“ยิ้มแล้วๆ”

“คุณพลีส! มาอยู่นี่เอง”

รุจาภารีบเดินเข้ามาเมื่อมองเห็นพาขวัญ แต่พอเห็นว่านางฟ้าน้อยกำลังคุยอยู่กับเด็กที่พิธานเพิ่งพามาด้วยก็รีบอุ้มเธอขึ้นกอดแนบอกอย่างไม่ไว้ใจ เพราะยังไม่รู้ที่มาที่ไปของอีกฝ่ายว่าจะไว้ใจได้หรือเปล่า…ต่อให้อีกฝ่ายจะหน้าตาบอบช้ำและร่างกายเต็มไปด้วยร่องรอยถูกทำร้ายจนน่าสงสารก็ตาม

“คุณท่านบอกให้เธอไปหาที่ห้องรับแขกนะ”

ว่าจบรุจาภาก็รีบอุ้มพาขวัญออกไป เด็กชายมองตามหลังเธอไปอย่างเศร้าสร้อย แต่คนที่กำลังถูกรุจาภาอุ้มกลับหันหน้ามาทางเขาแล้วยิ้มให้อย่างใสซื่อ ริมฝีปากสีแดงจิ้มลิ้มพึมพำคำเดิม

“จินหนมๆ”

และรอยยิ้มของเธอก็ทำให้เด็กชายยิ้มออกอีกครั้ง…

 

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in LOVE

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com