ทดลองอ่าน ออดอ้อน… เพียงเธอ บทนำ-บทที่2 – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

LOVE

ทดลองอ่าน ออดอ้อน… เพียงเธอ บทนำ-บทที่2

 

บทที่ 1

หุ่นยนต์ของพ่อ

 

ยี่สิบสองปีต่อมา

“หมอว่ายังไงบ้าง”

พิธานถามภวิลที่กำลังขับรถพาท่านไปส่งยังบ้านวงศ์วรารมย์…บ่ายวันนี้ท่านเข้าไปฟังการประชุมที่บริษัทและขณะเข้าห้องน้ำก็มีอาการหน้ามืดจนหกล้มศีรษะฟาดพื้น

โชคดีที่ภวิลเข้าไปเจอเลยรีบพาท่านมาส่งโรงพยาบาล กว่าจะทำแผลและตรวจอาการเพิ่มเติมก็กินเวลาไปเกือบสองชั่วโมง ชายหนุ่มจึงโทรไปบอก ‘กรกนก’ ผู้เป็นเลขาฯ ว่าเขาจะไม่เข้าบริษัทแล้ว

“ไม่ได้มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกครับ คุณท่านแค่ความดันต่ำก็เลยหน้ามืด”

แม้จะเป็นห่วงอีกฝ่ายมากแค่ไหน แต่ภวิลก็ไม่แสดงท่าทีตื่นตระหนก ใบหน้าหล่อเหลายังคงนิ่งเรียบ มีเพียงดวงตาคมกริบสีฟ้าเท่านั้นที่บอกความรู้สึกได้อย่างชัดเจนและพิธานเองก็รับรู้ได้

“ปีนี้ฉันอายุหกสิบแล้วใช่มั้ย จะว่าไปฉันก็แก่ลงไปเยอะเหมือนกันนะภักดิ์”

พิธานพูดทีเล่นทีจริง และด้วยความที่อายุมากขึ้นนี่เอง สามสี่ปีมานี้ท่านถึงได้มอบหมายให้ภวิลดูแลงานในบริษัทแทน แต่ยังคอยตรวจสอบความเรียบร้อยอยู่ห่างๆ นานๆ ถึงจะเข้าไปร่วมประชุมด้วยสักที แต่วันนี้ไปประชุมด้วยก็เกิดเรื่องจนได้ ท่านคงไว้ใจสุขภาพตัวเองไม่ได้แล้วจริงๆ

“ไม่หรอกครับ คุณท่านยังแข็งแรงมาก”

ภวิลไม่ได้แค่ปลอบเพราะพิธานยังแข็งแรงและดูหนุ่มกว่าอายุจริง แต่เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีปัญหาสุขภาพตามวัย ตัวเขาเองหากพักผ่อนน้อยติดต่อกันหลายวันก็ยังมีอาการหน้ามืดได้เลย

ฝ่ายพิธานพอได้ยินคำปลอบใจก็ยิ้มบางๆ…ภวิลเป็นเช่นนี้เสมอ เขาไม่ได้เป็นแค่มือขวาที่ทำทุกอย่างแทนท่าน แต่ยังคอยให้กำลังใจท่านด้วย หลายปีที่ผ่านมาเขาเปรียบเสมือนแขนขาของท่านก็ไม่ปาน

ประมุขบ้านวงศ์วรารมย์นึกย้อนไปถึงอดีตเมื่อยี่สิบสองปีก่อนที่วิชัยเกือบจะขับรถชนภวิลเข้า และเขาก็เป็นลมไปต่อหน้าต่อตา…อาการหวาดกลัวจับจิตจับใจจนเป็นลมหมดสติของภวิลในตอนนั้นทำให้พิธานกับวิชัยมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นนกต่อให้โจร แต่น่าจะเพิ่งถูกทำร้ายร่างกายมาอย่างหนักหน่วงมากกว่า

สภาพภายนอกที่น่าเวทนาทำให้ท่านตัดสินใจพาภวิลไปส่งที่โรงพยาบาลแล้วโทรบอกรุจาภาให้ดูแลพาขวัญและพาเธอเข้านอนโดยไม่ต้องรอ จากนั้นก็รอฟังอาการของภวิลที่โรงพยาบาลต่อเพราะติดต่อญาติภวิลไม่ได้ ครั้นส่งถึงมือหมอแล้วจะทิ้งไปท่านก็รู้สึกว่าตัวเองดูจะใจร้ายใจดำไปหน่อย

หลังจากหมอเช็กอาการเรียบร้อยก็ออกมารายงานสภาพอาการของภวิล ความจริงที่ได้รู้ทำให้พิธานหดหู่ใจและสงสารภวิลจับใจ เมื่อเขารู้สึกตัวขึ้น ท่านจึงเข้าไปคุยกับเขาอย่างมีเมตตา ตอนแรกภวิลก็ยังหวาดกลัวท่าน แต่พอรู้ว่าท่านเป็นผู้หวังดีนำเขามาส่งโรงพยาบาล อีกทั้งยังน่าจะเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวที่มีอยู่ แม้จะเป็นคนแปลกหน้า เขาก็ยอมเสี่ยงเล่าเรื่องราวทั้งหมดในชีวิตให้ท่านฟัง

ด้วยความเวทนาสงสารบวกกับถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก…เมื่อท่านรู้ว่าภวิลไม่มีที่ไปจึงพาเขาเข้ากรุงเทพฯ มาด้วยกันก่อน ทีแรกท่านยังไม่ได้คิดว่าจะรับอุปการะเขาไว้ เพียงแต่อยากให้ความช่วยเหลือเท่าที่จะช่วยได้ กระทั่งท่านได้เรียกอีกฝ่ายเข้ามาคุยอีกรอบ ท่าทางภวิลที่หมดสิ้นหนทางในชีวิตยิ่งทำให้ท่านเกิดความสงสาร และในที่สุดก็ตัดสินใจให้วิชัยกับรุจาภารับภวิลเป็นบุตรบุญธรรมเพราะวิชัยเป็นหมันทำให้ไม่สามารถมีบุตรได้ แต่ท่านจะเป็นคนดูแลส่งเสียเอง ขอแค่ทั้งคู่รับภวิลเป็นบุตรบุญธรรมในนามเท่านั้น

ทั้งนี้ท่านได้บอกภวิลตามตรงว่าคงให้ความสำคัญกับเขาทัดเทียมลูกสาวเพียงคนเดียวอย่างพาขวัญไม่ได้ ภวิลเข้าใจดี เขายอมรับทุกเงื่อนไข เพราะแค่พิธานช่วยเหลือเขาก็เป็นบุญคุณมากแล้ว

“ภักดิ์บอกเรื่องที่ฉันล้มกับน้องพลีสหรือยัง”

“ยังครับ ผมคิดว่าคุณท่านปลอดภัยดีแล้วก็เลยไม่ได้บอกคุณพลีสเพราะกลัวว่าเธอจะเป็นห่วง ตอนนี้คุณวิชัยน่าจะไปรับเธอแล้ว คงจะถึงบ้านไล่เลี่ยกับคุณท่าน” ภวิลตอบ

วิชัยกับรุจาภาเป็นพ่อแม่บุญธรรมของภวิลเพียงแค่ในนาม ทั้งสองไม่ได้ใกล้ชิดกับภวิลมากเท่าพิธานด้วยซ้ำ แต่เขาก็เคารพนับถือจึงให้เกียรติด้วยการใช้คำนำหน้าว่า ‘คุณ’ เสมอ

ส่วนวิชัยกับรุจาภาก็นับถือภวิลที่ปฏิบัติตัวดี ทำงานเก่งจนเป็นมือขวาคนสำคัญที่ได้รับความไว้วางใจจากพิธานและได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองประธานบริษัทซึ่งมีอำนาจรองจากท่าน

พิธานไม่ได้ทำงานมาสามสี่ปีแล้ว ท่านใช้ชีวิตเรียบง่ายสบายๆ อยู่ที่บ้าน ฉะนั้นหากจะพูดว่าตอนนี้คนที่บริหารงานทั้งหมดของตระกูลวงศ์วรารมย์คือภวิลก็คงจะไม่ผิดนัก

“ดีแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นน้องพลีสคงเป็นห่วงฉันจนไม่เป็นอันทำงาน”

‘งาน’ ของพาขวัญคือครูสอนการแสดงและดูแลโรงเรียนสอนการแสดงอย่าง ‘Leela Academy’ เธอจบจากคณะนิเทศศาสตร์ สาขาสื่อสารการแสดง (Performing Arts) ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานในบริษัทออร์แกไนเซอร์เท่าไหร่ แต่หากต้องการทำงานด้านนี้ก็สามารถนำความรู้มาประยุกต์ใช้ได้

ทีแรกพิธานไม่ค่อยเห็นด้วยที่หญิงสาวจะเลือกเรียนด้านนี้ เพราะยังไม่แน่ใจว่าเรียนเกี่ยวกับอะไรและจบออกมาจะทำงานอะไรได้บ้าง พาขวัญจึงอธิบายว่าสาขานี้อาจไม่ได้รับความนิยมจากนักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์มากเท่าสาขาอื่น แต่เรียนจบแล้วไม่ตกงานและยังสามารถทำงานได้หลากหลายด้วย

พาขวัญยกตัวอย่างให้ท่านฟังว่าอย่างรุ่นพี่ในสาขาแต่ละคนทำงานไม่ซ้ำกันเลยเพราะวิชาที่เรียนมีหลากหลาย สามารถประยุกต์ใช้ได้ในหลายอาชีพ อีกทั้งยังสามารถเลือกวิชาโทจากสาขาอื่นในคณะเพื่อเสริมทักษะด้านอื่นได้อีกด้วย

อาชีพของรุ่นพี่ในสาขาแต่ละคนนั้นหลากหลายและน่าสนใจมาก ทั้งผู้ฝึกสอนบุคลิกภาพ นักเขียนบทละคร ครูสอนดนตรี ครูสอนหนังสือ แอ็กติ้งโค้ช ยูทูเบอร์ พิธีกร นักแสดง ผู้กำกับ ผู้จัดละครเวที แคสติ้งที่คอยคัดหาและดูแลนักแสดง และอีกมากมาย

ปัจจุบันอุตสาหกรรมบันเทิงเติบโตอย่างรวดเร็ว คนทำงานเบื้องหลังเป็นที่ต้องการและมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าคนทำงานเบื้องหน้า เพราะมีทั้งช่องทางเผยแพร่สื่อทางอินเตอร์เน็ตอย่างโซเชียลเน็ตเวิร์ก และการออกอากาศก็ไม่ได้ผูกขาดไว้แค่สถานีโทรทัศน์ช่องใหญ่ๆ เพียงไม่กี่ช่องเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

พิธานได้ฟังก็เห็นว่าอาชีพเหล่านั้นเหมาะกับพาขวัญ หากเธอตั้งใจจริงแล้วเรียนจบก็คงหางานหาการทำได้ไม่ยาก…ท่านอาจจะไม่ใช่พ่อที่บังคับลูกสาว แต่ตอนแรกท่านก็ยังหวังว่าเธออาจสนใจมาช่วยงานที่บริษัทอยู่บ้าง ทว่าพอพาขวัญเรียนจบก็มาขอท่านเปิดโรงเรียนสอนการแสดงโดยจะร่วมหุ้นกับ ‘ฤดี’ หรือ ‘ครูฤดี’ ซึ่งเป็นอาจารย์ที่เคยสอนการแสดงให้กับเธอสมัยเรียนมหาวิทยาลัย

หญิงสาวไม่ได้ขอเพียงปากเปล่าแต่ยังมีแผนงานในแต่ละขั้นตอนมานำเสนอจนท่านไม่อาจปฏิเสธได้เพราะเห็นว่าเธอตั้งใจจริง

ครูฤดีถูกชะตากับพาขวัญ ท่านเป็นอาจารย์พิเศษสอนนักศึกษาในมหาวิทยาลัย แต่มีอาชีพหลักคือการสอนการแสดงให้นักแสดงเพราะปัจจุบันนี้มีดารานักแสดงเกิดขึ้นมากมายและแต่ละคนก็ต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกลืมหรือถูกนักแสดงรุ่นใหม่ๆ แซงหน้าไปก่อน

ครูฤดีสั่งสมประสบการณ์มานาน ปัจจุบันจึงมีงานแน่นมาก ทั้งไปสอนการแสดงให้กับนักแสดงในสังกัดผู้จัดการส่วนตัวดาราดัง ทั้งไปดูแลนักแสดงประจำกองถ่ายละคร และนอกจากนี้ยังต้องไปสอนศิลปินให้กับค่ายยักษ์ใหญ่ในวงการบันเทิงบางค่าย ทำให้ท่านไม่ค่อยมีเวลา

Leela Academy ก่อตั้งขึ้นเพราะครูฤดีมีลูกศิษย์เยอะ ใครๆ ก็อยากเรียนการแสดงกับท่าน และท่านเห็นว่านักศึกษาที่จบไปแล้วหลายคนก็สอนเก่งเพียงแต่ยังไม่มีชื่อเสียงและโอกาส

เมื่อพาขวัญมีความคิดอยากสร้างโรงเรียนเพื่อเป็นสื่อกลางให้ผู้สอนกับผู้เรียน ครูฤดีก็สนับสนุนและยินดีให้ใช้ชื่อท่านในการประชาสัมพันธ์โรงเรียน นอกจากนี้ท่านยังคอยดูแลแผนการสอน คัดกรองผู้สอน และควบคุมอยู่ห่างๆ เพื่อไม่ให้เสียชื่อตัวเองด้วย

การมีคนที่ไว้ใจได้อย่างพาขวัญคอยดูแลโรงเรียนก็ช่วยท่านได้มาก หญิงสาวอาจจะดูเด็กกว่าอายุจริง แต่ในเวลาทำงานเธอจะเป็นผู้ใหญ่ มีเหตุผล และทำงานอย่างรอบคอบเสมอ

ครูฤดีรู้จักเธอดี ท่านจึงไว้ใจให้เธอมาเป็นหุ้นส่วนคนสำคัญ…

ปัจจุบันแม้โรงเรียน Leela Academy จะไม่ได้ใหญ่โตและเปิดมาได้เพียงแค่ไม่กี่ปี แต่ก็เป็นที่นิยมและได้รับความไว้วางใจจนมีคนเข้ามาสมัครเรียนไม่เคยขาด ทั้งนี้ก็เพราะที่โรงเรียนดูแลนักเรียนทุกคนเป็นอย่างดี ครูฤดีเองก็มีชื่อเสียงและมีดาราเป็นลูกศิษย์ลูกหามากมายอยู่แล้ว

“ทุกวันนี้ฉันก็ห่วงแต่น้องพลีสนั่นแหละ” น้ำเสียงของพิธานอ่อนโยนลง

ไม่ต้องมีคำอธิบายเพิ่มเติมภวิลก็เข้าใจความรู้สึกท่านดี เขารู้ว่าพาขวัญเป็นเสมือนแก้วตาดวงใจของท่านและเธอไม่มีญาติที่ไหนอีกนอกจากน้าชายอย่าง ‘อติกันต์’ ซึ่งดูจะพึ่งพาอะไรไม่ได้

ไม่อย่างนั้นพิธานคงให้อติกันต์บริหารงานในบริษัทและดูแลโรงแรมหลายแห่งที่ครอบครัววงศ์วรารมย์เป็นหุ้นส่วนไปแล้ว ไม่ใช่ให้เขาซึ่งแทบจะเรียกได้ว่าเป็น ‘คนนอก’ มาดูแลแทน

ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีต…

ภวิลจำได้ว่าหลังจากหนีตายออกจาก ‘บ้านหลังนั้น’ เขาก็เกือบจะถูกรถของพิธานชนเข้า ท่านจะพาเขาไปส่งที่บ้านแต่เขาปฏิเสธ พอจะพาไปส่งตำรวจเขาก็ยิ่งปฏิเสธเป็นการใหญ่ เขาหวาดระแวงทุกคนจนคิดหนี เป็นเหตุให้วิชัยมาจับตัวเขาไว้และทำให้เขาหวาดกลัวจนหมดสติไป

พิธานนำเขาไปส่งโรงพยาบาล รอฟังอาการเขา และเมื่อรู้จากสภาพร่างกายว่าเขาเจอกับอะไรมาบ้าง ท่านก็เข้ามาเยี่ยมและพูดคุยกับเขาอย่างมีเมตตาจนเขาเริ่มไว้ใจ และพอพิธานรู้ว่าเขาไม่มีที่ไป ท่านก็คงเวทนาเขาเพราะตอนนั้นสภาพเขาแย่มากทั้งร่างกายและจิตใจ ท่านจึงให้เขาเข้ากรุงเทพฯ มาด้วย

พิธานให้เขาพักอยู่กับวิชัยก่อน แล้ววันต่อมาก็สอบถามความเป็นมาของเขา ภวิลยอมรับว่าตอนนั้นเขายังมีอาการหวาดกลัวแม้กระทั่งกับพิธาน แต่เขาก็ยอมเล่าความจริงทุกอย่างให้ท่านฟัง เพราะอย่างน้อยพิธานก็ช่วยเหลือเขาไว้ด้วยความเมตตา และเขาไม่อยากถูกส่งตัวไปให้ตำรวจหรือถูกส่งกลับบ้าน

พิธานเห็นว่าเขาอับจนหนทางจริงๆ ก็ปรึกษากับวิชัยว่าจะอุปการะเขาไว้เพราะท่านมีลูกสาวแค่เพียงคนเดียว แต่…แม้ท่านจะรับเลี้ยงเขาไว้แค่ในฐานะเด็กอุปการะและยกเขาให้เป็นบุตรบุญธรรมของบริวารในบ้าน เขาก็ยอมรับเงื่อนไขนั้น และเข้าใจถึงความจำเป็นของท่านเป็นอย่างดี

ถึงกระนั้นพิธานก็ไม่ได้ปล่อยปละละเลยภวิลแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม…ท่านกลับดูแลอย่างดีราวกับเขาเป็นลูกชายแท้ๆ พอรับรู้ว่าเขาต้องการ ‘ตัดขาด’ กับอดีตที่วิ่งหนีมา ท่านก็ตั้งชื่อให้เขาใหม่และให้เขาใช้นามสกุล ‘วงศ์วรารมย์’ ซึ่งทุกอย่างดำเนินการได้ไม่ยากเมื่อมีเงินและอำนาจเป็นตัวช่วย

พอภวิลฟื้นฟูร่างกายจนแข็งแรง พิธานก็พาเขาไปหาหมอเพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจ เมื่อเขาดีขึ้นก็พาไปสมัครเรียน กระทั่งจบมัธยมต้นก็ให้เขาไปเรียนต่อมัธยมปลายที่โรงเรียนประจำเพราะหากอยู่บ้านเดียวกันกับพาขวัญคงไม่เหมาะนัก ยังไงทั้งสองคนก็ไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ

ถึงกระนั้นช่วงที่อยู่ร่วมบ้านกันเขากับเธอก็ไม่ได้สนิทกัน เพราะมีเรื่องฐานะคั่นกลางระหว่างทั้งสองคน ตัวพาขวัญคงไม่คิดอะไร เธอยังเรียกเขาว่า ‘พี่ภักดิ์’ เหมือนเขาเป็นพี่ชาย แต่เขาเองต่างหากที่ไม่อยากทำตัวเทียบเสมอเธอ

ในช่วงเรียนมัธยม ทุกซัมเมอร์พิธานจะส่งภวิลไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศ พอภวิลจบมัธยมปลายก็เข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย พิธานให้เขาอาศัยอยู่ในคอนโดฯ ขนาดกลางที่ท่านซื้อเอาไว้ให้ แม้จะไม่ได้ทุ่มเทให้เขามากเท่ากับที่ทุ่มเทให้ลูกสาวอย่างพาขวัญ แต่ภวิลก็ซาบซึ้งในบุญคุณของท่านจริงๆ

พิธานติดต่อเขาเสมอ หาเวลามาเจอเขาหรือมาเยี่ยมเขาทุกสัปดาห์ ชวนเขาไปทานอาหารเย็นที่บ้านบ่อยๆ เพื่อให้เขาทำความรู้จักกับพาขวัญราวกับเห็นเขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว

พิธานสั่งสอนภวิลเหมือนลูกเหมือนหลาน ให้ค่าใช้จ่ายจนเขามีชีวิตที่สุขสบาย ส่งเสียให้เขาร่ำเรียนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดตามความสามารถ และให้เวลากับเขาเท่าที่ท่านจะให้ได้ ชายหนุ่มจำได้ดีว่าบางครั้งมีกิจกรรมพบผู้ปกครองที่โรงเรียน หากท่านมีเวลาท่านก็จะไปร่วมด้วย

แต่หากพิธานไม่มีเวลาก็จะบอกให้วิชัยหรือรุจาภาไปแทนซึ่งทั้งสองคนก็ให้ความเอ็นดูเขาแม้จะเป็นพ่อแม่บุญธรรมแค่เพียงในนามก็ตาม ภวิลจึงตั้งใจเรียนเพื่อให้ท่านภูมิใจ และคิดไว้ว่าหลังเรียนจบเขาจะตั้งใจทำงานเพื่อตอบแทนบุญคุณ และเขาก็ได้ทำทุกอย่างตามที่คิดเอาไว้จริงๆ

การวางตัว ความสามารถ และบุคลิกที่สง่างามโดดเด่นของภวิลทำให้เขาได้รับการยอมรับนับถือโดยที่เขาไม่ต้องวางก้ามใส่ใคร แม้กระทั่งสื่อต่างๆ ก็ยังยกย่องเขาให้เป็นนักธุรกิจดีเด่นที่น่าจับตามอง เป็นหนุ่มโสดในฝันของผู้หญิงทั้งประเทศ และยังคงติดต่อมาขอสัมภาษณ์เขาอยู่เนืองๆ

น้อยคนนักจะรู้ที่มาจริงๆ ของภวิล กระทั่งอติกันต์และพาขวัญเองก็ยังไม่รู้เลย ทุกคนได้รับข้อมูลแค่เพียงว่าพิธานพบเขาในตอนที่เขากำลังลำบาก ด้วยความถูกชะตาจึงรับเขามาอุปการะ

‘อดีต’ ของภวิลก่อนหน้าที่เขาจะได้พบกับพิธานเหมือนถูกฝังกลบดินเอาไว้ พิธานเองก็เหมือนจะลืมมันไปแล้ว คงมีแต่ภวิลเท่านั้นที่ยังลืมไม่ได้แม้ว่าเขาจะพยายามลืมมันแค่ไหนก็ตาม ถึงกระนั้นความทรงจำเหล่านั้นก็ถูกเขาสะกดไว้ไม่ให้มันออกมาหลอกหลอนเขาได้อีกต่อไปแล้ว

“ภักดิ์รู้ใช่มั้ยว่าฉันไว้ใจภักดิ์มากที่สุด…”

พิธานพูดหลังจากที่ต่างฝ่ายต่างเงียบไปนานนับนาที ต่อให้ภวิลจะปลอบใจ แต่ท่านก็รู้ว่าตัวเองอายุมากขึ้นทุกวัน ร่างกายอาจยังแข็งแรงและอยู่ได้อีกเป็นสิบปี แต่ท่านก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าตัวเองจะไม่เป็นอะไรไปก่อน ดังนั้นท่านต้องหาคนที่ไว้ใจได้มาดูแลดวงใจของท่านอย่างพาขวัญ

พิธานอยากเห็นลูกสาวมีครอบครัวที่มีความสุข อยากเห็นเธอมีคนที่เข้มแข็งคอยปกป้องดูแล และถ้าเป็นไปได้ท่านก็อยากจะเห็นหน้าหลานตัวน้อยๆ ก่อนที่ท่านจะเป็นอะไรไป

“ฉันมีเรื่องสำคัญอยากขอร้องภักดิ์และฉันหวังว่าภักดิ์จะตอบตกลง”

พิธานตัดสินใจเอ่ยขึ้นในที่สุดทำให้ชายหนุ่มละสายตาจากท้องถนนมาสบตาท่านเป็นครั้งแรก แม้เขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่ท่านก็รู้ดีว่าคนอย่างเขาไม่มีทางปฏิเสธคำขอร้องของท่านแน่นอน

 

หนึ่งสัปดาห์ต่อมา

วันนี้เป็นวันหยุดของพาขวัญ เธออยู่ที่บ้านทั้งวันและไม่มีทีท่าว่าจะออกไปธุระที่ไหน แต่พิธานก็ยังไม่วายย้ำกับเธอว่าให้รอทานอาหารเย็นกับภวิลราวกับกลัวว่าเธอจะออกไปธุระจนคลาดกับเขา

ทีแรกพาขวัญก็ยังไม่รู้สึกผิดปกติ แต่พอพิธานพูดย้ำเธอก็นึกขึ้นได้ว่าช่วงสองเดือนมานี้…นับตั้งแต่ก่อนพิธานจะเข้าโรงพยาบาลมาจนถึงตอนนี้…ภวิลมาทานอาหารเย็นที่บ้านบ่อยขึ้น จากเมื่อก่อนจะมาแค่เดือนละครั้ง แต่ช่วงหลังๆ เขาจะมาแทบทุกอาทิตย์เลย

“ช่วงนี้คุณพ่อชวนพี่ภักดิ์มาทานข้าวที่บ้านบ่อยจังเลยนะคะ งานที่บริษัทยุ่งมากจนต้องนัดปรึกษากันนอกรอบเลยเหรอ” ร่างบางทักขึ้นขณะนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับภวิล

ชายหนุ่มดึงสายตาจากคู่สนทนาอย่างพิธานไปมองคนที่เพิ่งเดินเข้ามานั่ง พาขวัญมีใบหน้าอ่อนหวานงดงาม เครื่องหน้าหมดจดลงตัว ทั้งดวงตาสีดำกลมโตภายใต้กรอบขนตางอนยาว เรียวคิ้วโก่งงาม จมูกโด่งเรียวรับกับทุกส่วนของใบหน้า ริมฝีปากอิ่มเต็มสีแดงระเรื่อน่าสัมผัส และดวงหน้ารูปไข่ที่ค่อนไปทางกลมนิดๆ ผมยาวสลวยสีน้ำตาลช่วยขับผิวขาวผ่องของเธอให้ดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น…พาขวัญอาจไม่ได้สวยหยาดฟ้ามาดิน แต่เธอมีเสน่ห์ชวนมอง ยิ่งพิศยิ่งเพลิน และยิ่งมองยิ่งอยากมองมากขึ้นเรื่อยๆ

ร่างบอบบางที่น่าจะตัวเล็กกว่าภวิลราวๆ สามสิบเซนติเมตรอยู่ในชุดลำลองเรียบง่ายสีอ่อนดูสบายตาและกลมกลืนกับผิวขาวใสของเธอได้เป็นอย่างดี พาขวัญเป็นผู้หญิงตัวเล็กที่รูปร่างได้สัดส่วน มีส่วนโค้งเว้างดงาม ทั้งแขนและขาเรียวสวยน่ามองจนชายหนุ่มละสายตาจากเธอได้ยาก เพราะไม่มีโอกาสได้พบเธอบ่อยนัก แต่…ถึงแม้ระยะหลังๆ เขาจะเจอเธอบ่อยขึ้นก็ยังอดมองไม่ได้อยู่ดี

“พ่อก็แค่อยากให้เราทำความรู้จักกับพี่เขาเอาไว้ เผื่อพ่อไม่อยู่แล้วทั้งสองคนจะได้ช่วยเหลือกัน” พิธานตอบพลางมองใบหน้าอ่อนหวานที่ปราศจากเครื่องสำอางของบุตรสาว

“คุณพ่ออย่าพูดอย่างนี้สิคะ พลีสไม่ชอบเลย” พาขวัญทำหน้ามุ่ย เธอรู้สึกไม่ดีทุกครั้งที่พิธานพูดเรื่องความเป็นความตาย “อีกอย่างพลีสกับพี่ภักดิ์ก็รู้จักกันมาตั้งนานแล้ว…เนอะพี่ภักดิ์เนอะ”

ร่างบางพยักพเยิดหน้ากับคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม เธอจำได้ว่าพิธานรับอุปการะภวิลตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กน้อย เขาอยู่ร่วมบ้านกับเธอได้สามปีก็ย้ายออกไปเรียนที่โรงเรียนประจำ พอเข้ามหาวิทยาลัยก็อยู่คอนโดฯ แล้วกลับมาค้างที่นี่เป็นบางครั้งบางคราว ตอนที่อาศัยอยู่ร่วมบ้านกันเธอกับเขาก็คุยกันนับครั้งได้ เพราะเขาจะชอบหลบหน้าเหมือนไม่กล้าคุยกับเธอ พอเขาย้ายออกไปทั้งสองคนก็ยิ่งเจอกันน้อยลง

แต่ยังถือว่าเธอคุ้นเคยกับเขาในระดับหนึ่ง…

เวลาพบกันก็ทักทายกันได้ตามปกติ แต่ส่วนใหญ่พาขวัญจะเป็นฝ่ายชวนคุยหรือเข้าไปทักทายก่อนตามประสาคนอัธยาศัยดี ส่วนภวิลค่อนข้างพูดน้อย แต่เธอรู้ว่าเขาไม่ได้รังเกียจเธอ

“พี่ภักดิ์จะไม่รับคำพลีสสักหน่อยเหรอคะ พลีสหน้าแตกเลยนะเนี่ย” พาขวัญพูดเมื่อชายหนุ่มเอาแต่นั่งนิ่งปล่อยให้เธอเอออออยู่คนเดียว ภวิลที่เอาแต่มองเธอจนเพลินจึงดึงสติกลับมาได้

“ครับ” ชายหนุ่มรับคำ

“กินข้าวกันเถอะ พ่อหิวแล้ว” พิธานยิ้มขำกับความน่าเอ็นดูของลูกสาวก่อนจะชวนให้ทั้งสองคนเริ่มทานอาหารอย่างอารมณ์ดี “ช่วงนี้ที่โรงเรียนของน้องพลีสเป็นยังไงบ้าง งานหนักหรือเปล่า”

“ไม่หนักหรอกค่ะ ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางมาสักพักแล้ว อาทิตย์หนึ่งพลีสก็รับสอนแค่สองคลาสจะได้มีเวลาพักและดูแลภาพรวมแทนครูฤดีน่ะค่ะ ช่วงนี้ครูงานเยอะจนแทบไม่ได้แวะมาที่โรงเรียนเลย”

“ผมอยากเห็นเวลาคุณพลีสสอนเด็กๆ เหมือนกันนะ” ภวิลนึกภาพไม่ออกว่าผู้หญิงอย่างพาขวัญที่เขายังติดภาพเธอเล่นซนตอนเด็กๆ เวลาทำงานจะเป็นยังไง เธอจะทำหน้าแบบไหน

“ทำไมคะ พี่ภักดิ์เห็นว่าพลีสยังเป็นเด็กจนสอนใครไม่ได้เหรอ”

“เปล่าครับ ผมอยากเห็นคุณพลีสในมุมจริงจังเท่านั้นเอง”

พาขวัญฟังแล้วก็ยังรู้สึกทะแม่งๆ อยู่ดี ภวิลพูดราวกับว่าเห็นเธอไร้สาระตลอดเวลาอย่างนั้นแหละ

“ถ้าพี่ภักดิ์ว่างจะแวะไปที่โรงเรียนของพลีสก็ได้นะคะ เผื่อพี่ภักดิ์ได้เจอนักเรียนของพลีสแล้วจะสนใจเรียกมาใช้งาน” พาขวัญถือโอกาสชักชวนชายหนุ่มอย่างมีแผน

หากงานอีเวนต์ที่ภวิลดูแลต้องการนักแสดงหรือหาเอ็กซ์ตราไปทำงานแล้วเขาสนใจจะติดต่อนักเรียนของเธอไปร่วมงานด้วยก็เท่ากับว่าเธอได้ป้อนงานให้นักเรียน เป็นการนำวิชาการแสดงที่ได้เรียนมาประยุกต์ใช้ และการได้รับค่าตอบแทนก็เหมือนเป็นการคืนกำไรให้ผู้เรียนเช่นกัน

“ครับ แล้วผมจะหาโอกาสแวะไปดู”

พิธานปล่อยให้สองหนุ่มสาวคุยกันไปเรื่อยเปื่อย แม้จะเป็นเรื่องทั่วไป แต่ภวิลกับพาขวัญก็ดูจะเข้ากันได้ดีจนท่านเบาใจและมีกำลังใจที่หลังจากนี้จะคุย ‘เรื่องสำคัญ’ กับลูกสาวตามลำพัง

พอทานอาหารเย็นเสร็จทั้งสามคนก็พูดคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนที่ภวิลจะขอตัวกลับเพราะพรุ่งนี้มีประชุมแต่เช้า ปัจจุบันภวิลย้ายออกจากคอนโดฯ ที่พิธานเคยซื้อให้ แล้วไปอาศัยอยู่ในคอนโดฯ หรูใกล้กับบริษัทที่เขาซื้อไว้เป็นสมบัติส่วนตัวซึ่งพิธานไม่ได้ว่าอะไร ท่านเข้าใจว่าภวิลก็ต้องมีชีวิตที่เป็นส่วนตัวบ้าง

“น้องพลีส…พ่อมีอะไรจะพูดด้วยหน่อย”

พิธานบอกลูกสาวหลังจากส่งภวิลกลับไปแล้ว และพาขวัญก็กำลังจะแยกตัวขึ้นห้อง หญิงสาวจึงหันมามองท่านอย่างแปลกใจ เธอรู้สึกได้ว่าเรื่องที่ท่านต้องการจะพูดด้วยคงเป็นเรื่องสำคัญมาก

“ไปจิบชาชมสวนเป็นเพื่อนพ่อได้มั้ย คืนนี้อากาศดีเชียว”

“ค่ะคุณพ่อ”

จากนั้นประมุขของบ้านวงศ์วรารมย์ก็บอกให้สาวใช้นำชากับขนมออกไปที่ศาลาสีขาวในสวนหย่อมใกล้ๆ สระว่ายน้ำที่พาขวัญชอบมานั่งเล่นบ่อยๆ…ตอนกลางคืนที่นี่จะเปิดไฟสีส้มทำให้วิวในสวนและสระว่ายน้ำสวยงามราวกับอยู่ในรีสอร์ตดัง แต่ขณะเดียวกันก็เงียบสงบเหมาะจะคุยกันเป็นการส่วนตัว

“คุณพ่อมีเรื่องสำคัญจะคุยกับพลีสเหรอคะ” พาขวัญถามขึ้นเมื่อนั่งได้สักพักแล้วแต่ท่านยังไม่พูดอะไรราวกับว่าท่านกำลังเรียบเรียงคำพูดในใจซึ่งมันทำให้เธอพลอยลุ้นไปด้วย

“พ่อจะชวนลูกสาวมานั่งจิบชาชมวิวเล่นบ้างไม่ได้หรือไง” พิธานย้อนถามติดตลก

“ก็น้ำเสียงคุณพ่อไม่เหมือนจะคุยเรื่องเล่นๆ นี่คะ” พาขวัญตั้งข้อสังเกต

พิธานยิ้มให้กับความฉลาดของลูกสาวก่อนจะเอ่ยถาม

“ปีนี้น้องพลีสอายุเท่าไหร่แล้วนะ”

“ยี่สิบห้าแล้วค่ะ คุณพ่อถามทำไมคะ”

“แล้วมีหนุ่มๆ ที่คุยๆ อยู่บ้างหรือเปล่า ไม่เห็นน้องพลีสพามาให้พ่อรู้จักเลย”

“พลีสยังไม่มีแฟน ยังไม่มีคนคุย และยังไม่มีใครทั้งนั้นแหละค่ะ” พาขวัญตอบปนขำ “แหม! ตอนเรียนมหาวิทยาลัยพลีสก็ทั้งเรียนทั้งทำกิจกรรมหนักหน่วงอย่างกับอะไรดี จะเอาเวลาที่ไหนไปมีแฟนล่ะคะ พอเรียนจบก็มาทุ่มเทให้กับโรงเรียนอีก ปีนี้ดีหน่อยที่อะไรๆ เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว”

“แสดงว่ายังไม่มีแฟนและยังไม่มีคนคุยเลยจริงๆ”

“ไม่มีค่ะ โธ่…ถามย้ำจังเลย คุณพ่ออย่าเร่งพลีสสิคะ พลีสเพิ่งจะอายุยี่สิบห้าเอง ผู้หญิงสมัยนี้อายุสามสิบปีแต่ยังไม่มีแฟนก็ไม่เห็นจะแปลกเลยนะคะ บางคนยังสวยยังสตรองอยู่เลย”

“พ่อก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย แล้วน้องพลีสว่าพี่ภักดิ์เขาเป็นยังไงบ้าง”

“ก็ดีนะคะ แต่…เขาเหมือนหุ่นยนต์ของคุณพ่อไปหน่อย”

“ทำไมไปว่าพี่เขาอย่างนั้น”

“ก็มันจริงนี่คะ” พาขวัญหัวเราะ เธอแค่คิดขำๆ แต่ไม่ได้คิดว่ามันเป็นข้อเสียของเขา “คุณพ่อสั่งอะไรหรือพูดอะไรพี่ภักดิ์ก็มีแต่ ‘ครับ’ แล้วทำตามคำสั่งของคุณพ่อทุกอย่างเลย เหมือนกับว่าคุณพ่อป้อนคำสั่งอะไรหรือตั้งโปรแกรมอะไรเขาก็ตอบสนองได้หมด นึกไม่ออกเลยนะคะว่าถ้าพี่ภักดิ์แต่งงานไปเขาจะเป็นยังไง คุณพ่อคงต้องคอยป้อนคำสั่งให้เขาดูแลภรรยาของเขาดีๆ ไม่งั้นคงน่าสงสารเธอแย่”

“น้องพลีส!” พิธานทำเสียงดุที่ลูกสาวไปวิพากษ์วิจารณ์ภวิลแบบนั้น พาขวัญคงไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้ท่านก็กำลังจะตั้งโปรแกรมและป้อนคำสั่งให้ภวิลมาเป็นสามีของเธอนั่นแหละ

“พลีสขอโทษค่ะ พลีสไม่ได้ตั้งใจจะว่าพี่ภักดิ์ไม่ดีนะคะ” เธอรีบแก้ตัว

คุณงามความดีของภวิลมีมากแค่ไหนทำไมพาขวัญจะไม่รู้ในเมื่อพิธานชื่นชมเขาตลอดเวลา อีกทั้งเธอก็รู้ดีว่าถ้าไม่มีเขาคอยช่วยงานที่บริษัทและดูแลโรงแรมที่ครอบครัววงศ์วรารมย์มีหุ้นส่วนอยู่อีกหลายแห่ง เธอคงไม่มีทางได้เปิดโรงเรียนสอนการแสดงอย่างที่ใฝ่ฝัน เพราะเธอเป็นทายาทเพียงคนเดียว

และแน่นอนว่าเธอต้องรับสืบทอดกิจการและบริหารงานทุกอย่างแทนท่าน

 

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in LOVE

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com