เล่อโหยวเป็นอุทยานหลวงที่ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของเขตพระราชวัง เลี้ยงสัตว์ล้ำค่าหายากนานาชนิดเอาไว้ ทุกปีในยามวสันตฤดูและสารทฤดูจะมีการล่าสัตว์เพื่อความสำราญของเหล่าเชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูงทั้งหลาย ทว่าฤดูล่าสัตว์ของวสันตฤดูในปีนี้ผ่านพ้นไปแล้ว ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งไว้ว่าห้ามมิให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปในเขตอุทยาน
เว่ยอี้จือย่อมไม่อาจนับเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้อง หากอยากจะล่าสัตว์จริงๆ ย่อมเป็นเรื่องเล็ก บอกมาแค่ไม่กี่คำ กับใช้เงินไม่เท่าไรก็คงได้สมใจแล้ว ทว่าปัญหาสำคัญก็คือ สัตว์ที่ขุนนางท่านนี้กล่าวหาว่าเขาล่าไปก็คือนกกระเรียนเซียนที่จัดเตรียมไว้เพื่อถวายในงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของฮ่องเต้ นี่หมายความว่าอะไร เห็นได้ชัดว่าต้องการจะสาปแช่งให้พระองค์สวรรคตในเร็ววันอย่างไรเล่า
อาณาจักรต้าจิ้นมีฮ่องเต้ที่มีอายุยืนยาวเพียงไม่กี่พระองค์ การล่านกกระเรียนจึงถือเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างเด็ดขาด ดังนั้นเพียงแค่ทุกคนได้ฟังเช่นนี้ก็ต้องนิ่วหน้าแล้ว
ขุนนางที่ฟ้องร้องคือเล่ออันซึ่งเป็นเสนาบดีกรมปกครอง เขาเป็นคนของเซี่ยซูก็จริง ทว่าการฟ้องร้องครั้งนี้เซี่ยซูไม่ได้เป็นผู้ชี้แนะให้ทำแต่อย่างใด
เซี่ยซูมีสีหน้าไม่ยินดีอยู่บ้าง นางวางกฎไว้แล้วว่าตราบใดที่ยังเป็นคนของนาง ไม่ว่าจะทำการสิ่งใดหรือฟ้องร้องกล่าวโทษผู้ใด เมื่อเขียนคำร้องแล้วล้วนต้องส่งมาที่จวนอัครเสนาบดีเพื่อให้นางได้ตรวจอ่านก่อนเสมอ ทว่านางไม่เคยผ่านตาฎีกาของเล่ออันที่ฟ้องร้องกล่าวโทษเว่ยอี้จือในวันนี้มาก่อนเลย เรื่องนี้ทำให้นางร้อนรนบ้างแล้ว
ไม่ว่าเขามีเจตนาดีหรือร้าย นี่ก็ถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมเอาเสียเลย
เว่ยอี้จือกลับไม่ร้อนรนเลยสักนิด ยังถึงขั้นปัดชุดขุนนางเบาๆ อีกด้วย เขาเพียงถามขึ้นว่า “มีหลักฐานอะไรที่บอกว่าข้าทำเช่นนั้น”
เล่ออันพูดด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง “เมื่อวานอู่หลิงอ๋องได้ไปที่เขาฟู่โจวหรือไม่ มีคนเห็นว่าในรถม้าของท่านมีทั้งคันธนูและลูกธนูไว้อย่างพร้อมสรรพ ทั้งยังมีชุดชาวหูครบชุด หลังจากท่านปรากฏตัวที่นั่น ก็มีข่าวแพร่สะพัดว่ามีนกกระเรียนเซียนถูกยิงตาย หากไม่ใช่ท่านแล้วยังจะเป็นผู้ใดไปได้อีก”
เว่ยอี้จือชอบการเดินทางมาตั้งแต่วัยเยาว์ ดังนั้นเขาจึงมีนิสัยชอบเตรียมเสื้อผ้าและอาวุธไว้ในรถม้านานแล้ว ด้วยภายหลังมีคนคอยจับตามองอยู่เสมอ เขาจึงมักแยกตัวอยู่อย่างสันโดษ ถึงอย่างนั้นนิสัยที่ว่ามาก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
อุทยานเล่อโหยวอยู่ตรงตีนเขาฟู่โจว วันนั้นเขานัดพบกับเซี่ยซู เดิมคิดว่าที่นั่นเงียบสงบดีไม่น่าจะถูกใครพบเห็นได้ง่ายๆ ไม่คิดเลยว่าจะยังถูกจับตามองเช่นนี้ สิ่งของในรถม้าใช่ถูกพบเห็นได้ง่ายๆ หรือ ข้าไม่พาฝูเสวียนไปด้วยเพียงวันเดียวก็มีคนขึ้นไปรื้อค้นเสียแล้ว ช่างบังอาจนัก!
เว่ยอี้จือเหลือบมองเซี่ยซู “ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ไม่น่าเป็นหลักฐานมาใช้ยืนยันว่าข้าเป็นผู้ล่านกกระเรียนเซียนกระมัง”
แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ยังพยักหน้าเห็นพ้อง “ไม่ผิด เสนาบดีเล่อมีพยานหรือไม่”
เล่ออันจึงเอ่ยว่า “ฝ่าบาททรงโปรดพิจารณาให้ชัดแจ้งด้วย ในอุทยานเล่อโหยวมีนางกำนัลพบเห็นองครักษ์คนสนิทของอู่หลิงอ๋องเข้าออกอุทยานในวันนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเล่ออันพูดเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็เริ่มเชื่อบ้างแล้ว พระองค์จึงหันไปเอ่ยถามเว่ยอี้จือ “อู่หลิงอ๋อง เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่”
เว่ยอี้จือหันไปมองเซี่ยซูอีกครั้งแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ “กระหม่อมไม่มีอะไรจะทูลพ่ะย่ะค่ะ”
ในเมื่อคิดจะกล่าวหากันอยู่แล้ว ไยต้องเกรงว่าจะไม่มีหลักฐานเล่า