เซี่ยซูหน้าเสียยิ่งกว่าเดิม ในเมื่อมีคนพบเห็นเว่ยอี้จือที่เขาฟู่โจว นางก็ย่อมต้องถูกพบเห็นด้วยสิ แต่เวลานี้เล่ออันกลับพุ่งเป้าไปที่เว่ยอี้จือเพียงผู้เดียว มองอย่างไรก็เหมือนว่านางแอบแทงข้างหลัง เห็นได้ชัดว่าเว่ยอี้จือกำลังถูกทำให้เข้าใจผิด
ยามนี้ยังไม่รู้ว่าใครกันที่กำลังนั่งบนภูเขาดูเสือสู้กัน…หรือจะเป็นฮ่องเต้?
เซี่ยซูเหลือบตาขึ้นมองไปยังที่นั่งด้านบน นางขจัดคำตอบของคำถามนี้ไปโดยพลัน ฮ่องเต้เป็นผู้งมงายยิ่งกว่าใคร ไหนเลยจะเอาเรื่องพระชนม์ชีพของพระองค์เองมาล้อเล่นเล่า
เล่ออันมิใช่คนที่รู้จักหยุดเมื่อได้เปรียบ พอเห็นเว่ยอี้จือคล้ายจะยอมรับแล้ว เขาก็ยิ่งป้ายสียิ่งขึ้นไปอีก “ขอบังอาจทูลถามฝ่าบาท ทรงทราบหรือไม่ว่าองครักษ์ใกล้ชิดอู่หลิงอ๋องมีชื่อแซ่ว่าอะไร เขาแซ่ฝู! ใครบ้างไม่รู้ว่าแซ่ของโจรแคว้นฉินที่ครอบครองทางเหนือของต้าจิ้นเราคือแซ่ฝู? คนผู้นี้ไม่มีหัวนอนปลายเท้าแต่กลับเข้ามาในเมืองหลวงของเราได้อย่างสง่าผ่าเผย เรื่องนี้ช่างน่าสงสัยยิ่งนัก!”
พอได้ยินเล่ออันเอ่ยเช่นนี้แล้ว ทั่วทั้งราชสำนักก็พากันสูดลมหายใจเข้าลึก
สีหน้าฮ่องเต้ดูแตกตื่นไปทันที “อู่หลิงอ๋อง นี่มันเรื่องอะไรกัน!”
เว่ยอี้จือสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน เขาประสานมือคำนับแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้กระหม่อมสะเพร่าเองพ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้ทูลรายงานความจริงให้ฝ่าบาททรงทราบแต่เนิ่นๆ ในเมื่อกระหม่อมรับตัวฝูเสวียนพาเข้าเมืองหลวงมาอย่างสง่าผ่าเผยเหมือนที่ใต้เท้าเล่อทูล เหตุใดกระหม่อมจึงตกเป็นผู้ต้องสงสัยได้เล่าพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ยังไม่วางใจ “เช่นนั้นเจ้าก็บอกมาสิว่าฝูเสวียนผู้นี้ที่แท้เป็นใครกันแน่”
เว่ยอี้จือกำลังวิตก สีหน้าเขาเคร่งเครียดไม่ได้เอ่ยอะไรอยู่ครู่หนึ่ง
ทันใดนั้นเซี่ยซูก็พูดแทรกขึ้นมา “อู่หลิงอ๋องไม่ยอมบอกเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาหมายปกปิด น่าสงสัยว่าฝูเสวียนผู้นั้นจะเคยเป็นสายลับของแคว้นฉินมาก่อน”
เว่ยอี้จือฉุกคิดขึ้นได้ทันที เขารีบเอ่ยเสริม “เอาเถอะ เช่นนั้นกระหม่อมก็จะทูลให้ทรงทราบ เดิมทีฝูเสวียนเป็นพลทหารราบในสังกัดของกระหม่อม แต่เดิมเขาไม่ได้ชื่อฝูเสวียน กระหม่อมทราบโดยบังเอิญว่าเขามีพื้นเพเดียวกับราชวงศ์แห่งแคว้นฉิน จึงให้เขาเปลี่ยนชื่อเป็นฝูเสวียนแล้วแทรกซึมเข้าไปเป็นสายลับในแคว้นฉิน ตอนนั้นที่กระหม่อมรบชนะแคว้นฉินได้หลายครั้งติดต่อกันก็เป็นเพราะได้เขาคอยช่วยส่งข่าวสารให้นั่นเองพ่ะย่ะค่ะ”
เล่ออันเห็นเว่ยอี้จือสามารถพูดกลับดำเป็นขาวได้ในพริบตาก็พูดขึ้นอย่างขุ่นเคือง “อู่หลิงอ๋องคิดแต่จะพลิกลิ้นแก้ต่างโดยไร้หลักฐานมายืนยัน ชาวบ้านทั่วไปคนหนึ่งจะแสร้งทำตัวเป็นเชื้อพระวงศ์ของแคว้นฉินได้อย่างไร อีกอย่าง หากฝูเสวียนมีความดีความชอบถึงเพียงนั้น ไยไม่เสนอรายงานขึ้นมาที่ราชสำนักเพื่อตกรางวัลเล่า พอฝ่าบาทตรัสถามขึ้นมา ท่านกลับทำลับๆ ล่อๆ ปิดบังเสียนี่”
เว่ยอี้จือเหลือบมองเล่ออันอย่างเย็นชา “อะไรกัน ข้าต้องแจ้งให้เจ้าทราบถึงวิธีการแฝงตัวเป็นสายลับต่อหน้าธารกำนัลด้วยหรือ ฐานะที่แท้จริงของฝูเสวียนเป็นเช่นไรนั้น คาดว่าท่านอัครเสนาบดีคงจะทราบคำตอบนานแล้ว ไยเจ้าไม่ไปถามเขาเล่า”
เล่ออันย่อมไม่เอ่ยถามเซี่ยซู ถึงอย่างนั้นคำพูดนี้ของเว่ยอี้จือก็ทำให้ฮ่องเต้เชื่อว่าฝูเสวียนเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว
เซี่ยซูแสร้งทำเหมือนรู้เรื่องราวดี แต่ทำเป็นอมพะนำแล้วพูดอย่างเลี่ยงๆ ว่า “ไม่ว่าจะพูดอย่างไร กระหม่อมก็เห็นด้วยกับใต้เท้าเล่อ ในเมื่อฝูเสวียนมีความดีความชอบ เหตุใดไม่รายงานมาที่ราชสำนักเพื่อตกรางวัล หากเป็นกระหม่อมจะทูลเสนอให้ฝ่าบาททรงตกรางวัลให้”
ฮ่องเต้ได้ยินเซี่ยซูพูดเช่นนี้ก็หงุดหงิด “ใต้หล้านี้ทุกคนคิดแต่อยากจะได้ชื่อเสียงและความมั่งคั่งเท่านั้นหรือ!”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง” ที่ผ่านมาเซี่ยซูยังพอจะไว้หน้าฮ่องเต้บ้าง นางจึงรับคำทันที “ที่แท้ฝูเสวียนผู้นี้ก็มีคุณธรรมสูงส่ง เห็นทีกระหม่อมจะต้องปฏิบัติตัวเยี่ยงเขาให้จงได้”
ฮ่องเต้ทำเสียงหึเย้ยหยันเบาๆ แล้วหันไปทางเล่ออัน “เจ้ายังมีอะไรอยากจะฟ้องร้องอีกหรือไม่”
“นี่…” เล่ออันถึงกับสลดเมื่อเห็นการณ์เป็นไปเช่นนี้ เขาได้แต่กัดฟันบากหน้ายืนหยัดตามคำร้องก่อนหน้านี้ “ทูลฝ่าบาท เรื่องที่อู่หลิงอ๋องล่านกกระเรียนเซียน จะไม่จัดการไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้จนปัญญายิ่งนัก พระองค์อยากปล่อยให้ผ่านไปแต่กลับทำไม่ได้