ตลอดช่วงเวลาหลายปีมานี้ ราชสำนักไม่เคยเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น สายตาของฮ่องเต้จึงรวมมาอยู่ที่ตัวเซี่ยซูทั้งสิ้น ทุกครั้งที่มีการเข้าเฝ้าเป็นต้องจ้องอัครเสนาบดีเขม็ง จ้องชนิดที่แทบจะทะลุทะลวงร่างอีกฝ่ายได้เลยทีเดียว
หากมิใช่เพราะฮ่องเต้เป็นคนเอาจริงจัง อาลักษณ์คงได้จดบันทึกไปแล้วว่าพระองค์รักชอบหลงหยาง
จับจ้องอยู่หลายวัน ในที่สุดฮ่องเต้ก็เปลี่ยนวิธี วันนี้หลังจากเล่นงานเรื่องงานปกครองเสร็จแล้ว พระองค์ก็ทอดถอนใจ แล้วเอ่ยกับเซี่ยซูด้วยท่าทางจริงจัง “ช่วงก่อนหน้านี้เกิดปรากฏการณ์ประหลาด ฤดูร้อนร้อนยิ่ง วันนี้เรายังได้ยินมาอีกว่าที่เมืองเหอผู่มีคนเห็นเมฆหมอกก่อตัวจนดำทะมึนเหนือทะเลโดยไม่ยอมสลายไป เกรงว่าจะเป็นลางร้ายเป็นแน่ อีกอย่าง นับตั้งแต่อัครเสนาบดีเซี่ยขึ้นรับตำแหน่งก็มีลางร้ายเกิดขึ้นไม่หยุด เกรงว่าพวกชาวบ้านจะเอาไปพูดถึงกันพล่อยๆ ช่วงนี้เจ้าก็ผ่อนปรนกับพวกผู้ใต้บังคับบัญชาลงบ้างเถิด เลี่ยงไม่ให้ผู้อื่นหาข้ออ้างมาติฉินค่อนแคะเจ้าได้”
คำพูดของฮ่องเต้อาวุโสนั้นล้วนจริงใจ ดูแล้วเหมือนใคร่ครวญเผื่อนางแล้ว แต่มีหรือที่เซี่ยซูจะฟังความหมายที่ซ่อนเร้นในคำพูดนั้นไม่ออก
รายชื่อที่จดไว้จากงานเลี้ยงคราวนั้น เซี่ยซูเพิ่งมีโอกาสลงมือจัดการเมื่อไม่นานนี้เอง ที่ควรปลดก็ปลดออก ที่ควรย้ายก็สั่งย้ายไป จนกระทบไปถึงขุนนางใหญ่หลายท่าน เกรงว่าคนเหล่านั้นคงไปร้องไห้คร่ำครวญกับฮ่องเต้เป็นแน่แท้
เซี่ยซูคิดว่าจะทำสิ่งใดล้วนต้องรอบคอบ นางต้องคุมคนสนิทฝ่ายของท่านปู่ให้อยู่ในกำมือให้ได้ ขณะเดียวกันยังต้องเลี้ยงคนสนิทที่ตนเองไว้ใจได้เอาไว้บ้าง ดังนั้นด้านหนึ่งนางจำต้องขุดรากถอนโคนอีกฝ่าย ส่วนอีกด้านหนึ่งก็ต้องปลูกรากใหม่เอาไว้ ขุดไปขุดมาจนไปถูกรากซึ่งเป็นคนสนิทสองคนของฮ่องเต้เข้าโดย ‘ไม่ทันระวัง’
คนหนึ่งคือหัวหน้าสำนักตรวจการ ขุนนางท่านนี้เขียนฎีการ้องเรียนนางครั้งหนึ่งตอนที่นางเพิ่งขึ้นเป็นอัครเสนาบดี บอกว่ามารดาของนางไม่เป็นที่รู้จัก ไม่อาจควบคุมงานปกครองของราชสำนักเอาไว้ได้ อีกท่านหนึ่งคือแม่ทัพเชอจี้ ตอนนั้นกล่าวโทษว่านางเกรงกลัวอู่หลิงอ๋องที่กลับมาเมืองหลวง จึงจงใจย้ายทหารราชองครักษ์ในเมือง
ฮ่องเต้ทราบเรื่องนี้เมื่อตอนกลางดึก พระองค์ถึงกับกริ้วเสียจนสีหน้าเครียดคล้ำ พลางตวาดว่า ‘มารดามันเถอะ’ ยามนั้นหยวนกุ้ยเฟย ที่คอยรับใช้ในห้องบรรทมตระหนกตกใจจนกลิ้งตกเตียง ทว่าก่อนกลิ้งตกลงไปนั้นยังเผลอถีบพระองค์อย่างแรงเข้าทีหนึ่งด้วย
หวนกลับมาคิดในตอนนี้ พระองค์ก็ยิ่งกริ้วกว่าเก่า มือลูบไปบนแข้งของพระองค์พลางจ้องมองเซี่ยซูไปด้วย คำพูดนี้บอกชัดเจนว่าให้อีกฝ่ายคำนึงถึงพระเกียรติของพระองค์ให้มากหน่อย ช่วยรามือเรื่องการทำเรื่องขาดคุณธรรมลงเสียบ้าง!
เซี่ยซูค้อมคำนับอย่างนอบน้อมแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้องแล้ว เรื่องที่เมืองเหอผู่ กระหม่อมก็ได้ยินมาเช่นกัน จึงให้โหรหลวงไปทำการตรวจสอบแล้ว คิดว่าอีกไม่กี่วันคงจะได้ความกระจ่าง ถึงตอนนั้นข่าวลือย่อมลดหายไปเองโดยไม่ต้องทำอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าฮ่องเต้พลันบูดบึ้ง เสียงหัวเราะหึดังขึ้นอย่างหยามหยัน ก่อนมองเลยไปยังโหรหลวง ขอให้ตรวจสอบแล้วไม่พบอะไรเลย!
ยามนี้เอง เว่ยอี้จือที่อยู่ภายในท้องพระโรง ซึ่งตลอดมาแทบไม่พูดอะไรเลยนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “พูดถึงเมฆสีดำเหนือท้องทะเล เมื่อก่อนกระหม่อมก็เคยได้ยินชาวโหรวหรานผู้หนึ่งเล่าว่า นี่เป็นลางร้ายอย่างมาก เกรงว่าจะร้ายยิ่งกว่าฤดูร้อนที่ร้อนจัดเสียอีกพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้สดับฟังแล้วก็อารมณ์ดีขึ้นทันที
ใครบ้างไม่รู้ว่าชาวโหรวหรานอาศัยอยู่ในทะเลทราย เมื่อได้ยินชาวโหรวหรานพูดถึงข่าวลือเกี่ยวกับทะเลเช่นนี้ มิสู้เจ้าไปถามราคาผักจากฮองเฮาเสียดีกว่า! นี่หมายความว่าอะไร ก็หมายความว่าอู่หลิงอ๋องเริ่มเกิดความคิดจะหาทางประมือกับอัครเสนาบดีแล้วน่ะสิ! นี่สินะที่คนพูดกันว่า…ไม่กลัวเจ้าจะมีความสามารถเกินหน้าเจ้านาย กลัวก็แต่เจ้าไม่รู้ว่าใครกันที่เป็นเจ้านาย!