ฮ่องเต้สบายใจยิ่งแล้ว พระองค์มองไปยังเว่ยอี้จืออีกครั้ง ดูแล้วช่างรื่นตายิ่งนัก
เซี่ยซูเองก็ตระหนักว่าเว่ยอี้จือตั้งท่าจะเป็นศัตรูกับตนแล้วเช่นนี้ นางจึงแอบกวาดตามองอีกฝ่ายเร็วๆ จนไม่มีใครสังเกตเห็น
อันที่จริงชนชั้นสูงที่อยากให้นางตายก็มีสกุลเว่ยที่มาเป็นอันดับหนึ่งมิใช่หรือ
เว่ยอี้จือกลับยืนนิ่งอย่างเด็ดเดี่ยว ดูสุขุมเยือกเย็น ราวกับว่าเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาทั้งนั้น ทั้งยังยิ้มให้นางอีกด้วย
เซี่ยซูกุมขมับ จะเล่นลูกไม้กับข้าด้วยการให้ร้ายก่อนแล้วค่อยปลอบใจทีหลังใช่หรือไม่!
คงเป็นเพราะบารมีของฮ่องเต้เป็นแน่ หลังจากโหรหลวงตรวจสอบเรื่องเมฆดำทะมึนเหนือท้องทะเลแล้วก็ยังไม่พบความกระจ่าง
ตอนนี้ข่าวลือที่ว่านี้ราวกับมีขางอกออกมา ภายในระยะเวลาไม่กี่วันก็แพร่ออกไปทั้งในและนอกกำแพงวังหลวง
เอาล่ะสิ คราวนี้เป็นลางร้ายมหันต์เชียวนะ สกุลเซี่ยคงถึงคราวล่มสลายแล้วกระมัง!
เมื่อมีข่าวลือกระซิบกระซาบนี้อยู่ในเมืองหลวง ก็ถึงคราวที่ฝ่ายสนับสนุนของเซี่ยซูต้องสลดบ้างแล้ว พวกเขาได้แต่ทำตาปริบๆ มองดูฝ่ายสนับสนุนอู่หลิงอ๋องตีปีกเริงร่า จำต้องกัดฟันกรอดๆ บิดผ้าเช็ดหน้าจนขาดวิ่น ความรู้สึกนั้นอย่าให้พูดเลยว่าเศร้าสลดหดหู่ปานใด!
ยามเข้าเฝ้าที่ท้องพระโรง ฮ่องเต้ก็แย้มยิ้มเสียจนใบหน้าเป็นรอยยับย่นราวกับดอกเบญจมาศ “อัครเสนาบดีเซี่ย เจ้าดูสิ บัดนี้เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีอะไรจะพูดบ้างหรือ”
เซี่ยซูกะพริบตาราวกับคนโง่งม “ความหมายของฝ่าบาทคือ…”
“เราว่าทั้งหัวหน้าสำนักตรวจการและแม่ทัพเชอจี้ต่างก็ไม่เคยทำความผิดมาก่อน นี่ต้องเป็นเพราะอัครเสนาบดีเช่นเจ้าประพฤติตัวไม่เหมาะสม จึงได้ทำให้สวรรค์พิโรธผู้คนสาปแช่งเป็นแน่”
เซี่ยซูทำสีหน้าเหมือนเพิ่งรู้ความผิดของตนเอง นางมีท่าทีครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวตอบว่า “กระหม่อมจะจดจำสิ่งที่ฝ่าบาททรงสั่งสอนไว้ให้ดี กลับไปแล้วกระหม่อมจะพินิจพิจารณาตัวเป็นอย่างดี แล้วประพฤติตัวเสียใหม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ทำเสียงอืมคำหนึ่ง ในใจปลอดโปร่งโล่งสบาย เจ้าเด็กนี่กำราบง่ายยิ่งนัก หากเป็นตาเฒ่าเซี่ยหมิงกวงคงไม่อาจจัดการได้โดยง่ายเช่นนี้ อา อยากจะหันไปชื่นชมข้ารับใช้คนสนิทที่แนะให้ปล่อยข่าวลือที่ข้างนอกเสียจริง ทำได้ดี ทำได้ดีทีเดียว!
หลังจากเข้าเฝ้าแล้ว เซี่ยซูยังคงมีสีหน้าเศร้าหมองขมขื่นไม่จางหาย ส่วนขุนนางคนอื่นๆ ต่างก็มีความคิดที่แตกต่างกันออกไป
คนที่สนับสนุนเซี่ยซูก็รู้สึกหวั่นใจยิ่งนัก เรื่องนี้จะว่าเล็กก็เล็ก จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ แต่หากจัดการเรื่องราวได้ไม่ดี นี่มิเท่ากับวางเดิมพันผิดข้างหรอกหรือ
ฝ่ายตระกูลใหญ่ที่ตั้งตัวเป็นศัตรูของเซี่ยซูย่อมจะกระหยิ่มใจ นี่แหละที่ว่าคนคำนวณมิสู้ฟ้าคำนวณ! คิดแล้วก็ต้องรีบสาวเท้าเข้าไปตีสนิทกับอู่หลิงอ๋องเสียหน่อย ราวกับมองเห็นแสงสว่างนำทางที่โชติช่วงอย่างไรอย่างนั้น
ไหนเลยจะรู้ว่าอู่หลิงอ๋องกลับเสไปอีกทางหนึ่ง เขาเดินเข้าไปหาอัครเสนาบดีที่กำลังทำสีหน้าทุกข์ตรม
“ท่านอัครเสนาบดี โปรดรอก่อน”
เซี่ยซูเพิ่งเดินพ้นประตูวังมา เดิมทีนางที่ปั้นหน้าขมขื่นอยู่นานก็นึกว่าจะได้ผ่อนคลายลงบ้างแล้ว พอได้ยินเสียงเรียกนี้ นางจึงจำต้องแสร้งตีหน้าเศร้าระทมต่อ
เว่ยอี้จือเกล้าผมสูงแล้วครอบหมวกยศสีทอง ชุดขุนนางบนร่างเขายิ่งทำให้ดูเคร่งขรึม เขาค่อยๆ เดินตรงเข้ามา “ไม่ทราบว่าท่านพอมีเวลาว่างหรือไม่ ข้านึกอยากจะเชิญท่านไปยังสถานที่ที่น่าไปเยี่ยมชมสักหน่อย”
เซี่ยซูครุ่นคิด “หืม? สถานที่ที่น่าไปเยี่ยมชมเช่นนั้นรึ”
เว่ยอี้จือหัวเราะเบาๆ ดวงตาเจิดจ้าราวกับดวงดาว “ไปแล้วก็จะรู้เอง”