หลังออกจากวังแล้วรถม้าทั้งสองคันก็มุ่งไปทางทิศใต้ ผ่านประตูต้าซือหม่า ประตูเซวียนหยาง และประตูจูเชวี่ยตามลำดับ ในที่สุดรถม้าของทั้งสองก็หยุดลงยังริมฝั่งแม่น้ำฉินไหวที่คึกคักเป็นอย่างยิ่ง
เซี่ยซูอาศัยอยู่ในตรอกอูอี ริมฝั่งด้านเหนือของแม่น้ำฉินไหว จวนต้าซือหม่าของเว่ยอี้จือตั้งอยู่ที่บริเวณคลองขุดชิงซี ด้านตะวันออกของเมือง ชาวบ้านต่างก็คิดไปว่าสองคนนี้แค่บังเอิญร่วมทางกันมาแล้วหยุดรถเพื่อจะแยกกันตรงนี้ ย่อมคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นอัครเสนาบดีเดินลงมาจากรถม้าของตนเอง บอกให้องครักษ์ถอยไป ก่อนจะยกชายชุดแล้วเดินขึ้นไปบนรถม้าของอู่หลิงอ๋อง ทั้งสองนั่งรถม้าคันเดียวกัน ตรงไปยังฉางกั้น
ชาวบ้านล้วนอาศัยอยู่ในย่านฉางกั้น การกระทำของพวกเขาย่อมทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นไม่น้อย…
“ท่านอัครเสนาบดีจะไปจับคนที่ปากมากด้วยตัวเองเชียวรึ”
“แล้วทำไมต้องนั่งรถม้าของอู่หลิงอ๋องไปด้วยเล่า”
“เจ้าโง่! อู่หลิงอ๋องมีวรยุทธ์ยอดเยี่ยม จะต้องถูกบังคับให้ไปทำหน้าที่ซ้อมผู้ต้องหาน่ะสิ!”
“โธ่ อู่หลิงอ๋องของข้าช่างน่าสงสาร”
“ไปไกลๆ เลย! ท่านอัครเสนาบดีของข้าไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย!”
เนื่องจากเป็นย่านที่อยู่อาศัยอันหนาแน่นของชาวบ้าน ฉางกั้นจึงไม่ขาดสิ่งใด มีทั้งของกินเครื่องดื่ม การละเล่น และดนตรีต่างๆ ตามรายทางมีแผงสินค้าตั้งเรียงรายอยู่นับไม่ถ้วน ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ดูหลากหลาย มีคนสัญจรกันอย่างแน่นขนัด เสียงร้องตะโกนอันหนวกหูดังสับสนวุ่นวายไปหมด ในอากาศมีทั้งกลิ่นที่หอมหวนและเหม็นหืนโชยมาเข้าจมูก
เซี่ยซูแหวกม่านมองออกไป นางถึงกับกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ โดยไม่รู้ตัว
นางได้กลิ่นเนื้อกวางย่าง แปดปีก่อน ตอนที่คนในจวนสกุลเซี่ยรับนางกลับมายังเมืองเจี้ยนคัง พอนางสูดดมกลิ่นนี้ก็ถึงกับหิวจนน้ำลายสอ
ตอนนั้นนางเคยได้ยินพวกผู้ใหญ่พูดกันว่าชาวหูชอบกินของสิ่งนี้ พอมาอยู่ที่เจี้ยนคังนางก็ได้กลิ่นมานับครั้งไม่ถ้วน ทว่าไม่เคยได้ลิ้มรสเลยสักครั้ง แล้วจะไม่ให้นางนึกอยากกินได้อย่างไร ภายหลังบ่าวในจวนนึกเห็นใจนาง จึงซื้อเนื้อกวางย่างมาให้นางกิน ผลก็คือนางกินเอาๆ ชนิดที่เรียกว่าไม่บันยะบันยังเลยทีเดียว พอกลับมาถึงจวนจึงเริ่มอาเจียน ทำให้ท่านปู่โกรธเกรี้ยวอย่างหนัก ยังลงโทษบ่าวผู้นั้นด้วยไม้พายเสียยกหนึ่ง
‘เจ้าเป็นคนสกุลเซี่ย ไปกินของแย่ๆ มั่วๆ ได้หรือ!’ ถ้อยคำของท่านผู้เฒ่าคล้ายยังดังอยู่ข้างหู
เซี่ยซูถอนหายใจแผ่วเบา ตอนนั้นขอเพียงได้กินเนื้อกวางย่างจนเต็มอิ่มก็นับเป็นความหวังอันสูงสุดของนางแล้ว ได้ชื่อว่าเป็นคนสกุลเซี่ยแล้วอย่างไร กินของพวกนี้ไม่ได้เลยหรือ
“เหตุใดท่านจึงถอนหายใจเล่า”
“หืม?” เซี่ยซูค่อยได้สติกลับมา แล้วค่อยนึกขึ้นได้ว่ายังมีเว่ยอี้จือนั่งอยู่ด้วย นางจึงรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ “ไม่มีอะไรหรอก เพียงแค่รู้สึกว่าไม่ง่ายเลยที่เมืองหลวงจะกลับมาคึกคักเช่นนี้”
มุมปากเว่ยอี้จือปรากฏรอยยิ้มบางๆ ที่คล้ายมีคล้ายไม่มี “นึกว่าเรื่องใดเสียอีก ท่านอัครเสนาบดีช่างคำนึงถึงราษฎรก่อนเป็นอันดับแรกจริงๆ”
เซี่ยซูรีบโอ้อวดตนเองทันที “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น ตัวข้าไร้ข้อดีอื่นๆ จะมีก็แต่โอบอ้อมอารีเกินไปเท่านั้นแหละ ฮ่าๆ”
รอยยิ้มเว่ยอี้จือยิ่งหยักลึกขึ้นอีก เขาโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อยพลางเลิกผ้าม่านรถขึ้น ทำท่าชี้ชวนให้เซี่ยซูมองออกไปข้างนอก
เซี่ยซูหันมองตาม “นักเล่นกลจากแคว้นต้าฉินกำลังเปิดการแสดงนี่”
“ไม่ผิด”
เว่ยอี้จืออยู่ใกล้เซี่ยซูมาก นางแทบจะมองเห็นได้ว่าดวงตาดำขลับราวหยกสีดำที่อยู่ใต้ขนตายาวนั่นเจิดจ้าวาววามเพียงใด
“เจ้าต้องดูว่าพวกเขาทำการแสดงอย่างไร” เว่ยอี้จือเอ่ยขึ้น
เซี่ยซูหันกลับไปมอง คราวนี้นางมองดูด้วยความตั้งใจยิ่ง