เมื่อกลับถึงจวนสกุลเซี่ย เซี่ยซูก็ตรงไปที่ห้องหนังสือก่อนเป็นอันดับแรกเหมือนเช่นเคย
เซี่ยซูล้วนใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องหนังสือ ซึ่งผู้คนทั่วไปไม่เคยรับรู้มาก่อน ยามปกติคนอื่นๆ จะเห็นเพียงนางทำท่าเอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ ผู้คนจึงได้แต่จดจำภาพที่หลอกตาว่านางเป็นผู้มีความสามารถเพียงพื้นๆ แต่กลับก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด
เพิ่งเดินไปถึงประตูห้องหนังสือ นางก็เห็นว่าที่หน้าประตูมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ ดูเหมือนว่าเขาจะคอยนางอยู่นานแล้วด้วย
เซี่ยซูฉีกยิ้มให้พลางเอ่ยว่า “ท่านอานี่เอง เหตุใดมีเวลาว่างมาหาหลานได้แล้วเล่า”
เซี่ยหร่านมีรูปร่างผอมบาง เขาสวมชุดยาวสีเทาอมเขียวอ่อนไข่เป็ด เกล้าผมด้วยปิ่นหยก ยามยืนอยู่ที่ทางเดินยาวมีหลังคาคลุมเช่นนี้ก็ราวกับเป็นต้นไผ่ลำหนึ่งจากปลายพู่กันของจิตรกรชื่อดัง เขาไม่เห็นแก่สีหน้าแย้มยิ้มของเซี่ยซูเลยสักนิด ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยแต่ก็ไม่ดูเย่อหยิ่งเฉกเช่นก่อนหน้านี้แล้ว “ข้ามาตอบรับข้อเสนอของประมุขตระกูล”
“หืม?” แววตาเซี่ยซูพลันเจิดจ้า นางรีบเชิญเขาเข้าไปในห้องหนังสือทันที
เซี่ยหร่านเองก็ไม่พูดพล่ามเรื่อยเปื่อย พอเข้ามาแล้วก็บอกอย่างตรงไปตรงมาว่า “อย่างไรเสียด้วยฐานะของข้าแล้วคงไม่อาจเข้าออกราชสำนักได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ชีวิตของข้าคงได้แต่พึ่งพาอาศัยท่านแล้ว อย่างไรเสียก็ยังนับว่ามีความหวัง”
เซี่ยซูพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ท่านอาคิดได้เช่นนี้ช่างดีเหลือเกิน”
เซี่ยหร่านยังบอกอีกว่า “ข้ามีชื่อรอง ว่าทุ่ยจี๋ ท่านอายุมากกว่าข้า เรียกข้าเช่นนี้ก็ได้ไม่เป็นไร”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว ตามที่ทุ่ยจี๋ว่ามา ข้าอยากหาโอกาสเหมาะๆ ไปพบปะกับคนสำคัญของตระกูลใหญ่ในแต่ละตระกูลสักหน่อย จะจัดการอย่างไรดี”
เซี่ยหร่านครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาหันออกไปมองข้างนอก เห็นว่าเป็นยามสายมากแล้ว ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “ท่านลุงก็จากไปแล้ว เทศกาลซั่งซื่อ ปีนี้จึงไม่มีใครเรียกชุมนุมเหล่าตระกูลใหญ่ไปปรึกษางานแผ่นดินที่ไคว่จี ช่างน่าเสียดายโดยแท้ อีกไม่นานวสันตฤดูก็จะผ่านพ้นไปแล้ว”
เซี่ยซูยิ้มแล้วเอ่ยว่า “พูดได้ถูกต้อง ข้าก็มีความตั้งใจเช่นนี้อยู่พอดี ในเมื่อปกติทุ่ยจี๋เคยไปเยี่ยมเยือนลูกหลานตระกูลใหญ่หลายตระกูลอยู่แล้ว เช่นนั้นคงต้องขอให้เจ้าช่วยเขียนเทียบเชิญแล้ว”
เซี่ยหร่านได้ฟังแล้วก็แอบรู้สึกตกใจ เซี่ยซูพูดถึงสิ่งที่ตัวเขามักทำในยามปกติได้อย่างคล่องปาก ย่อมต้องมีเจตนาจะเอ่ยเตือน เห็นทีคงไม่อาจดูเบาคนตรงหน้าได้อีก
“ได้สิ”
“ประเดี๋ยวก่อน” เซี่ยซูเอ่ยเรียกไว้ “เจ้าไม่ต้องเชิญอู่หลิงอ๋องนะ”
“นี่…” เซี่ยหร่านมีท่าทีลังเล ต่อให้ทุกคนรู้ว่าบัดนี้ตระกูลเว่ยได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับสกุลเซี่ยแล้ว แต่ต้องแสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนด้วยหรือ
เซี่ยซูกลับยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ข้าจะไปเชิญเขาด้วยตนเอง”