บทที่ 5
เซี่ยซูกำลังคร่ำเคร่งอยู่กับรายงานบนโต๊ะ ไล่ดูความเป็นมาของทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเล่ออันทีละคนๆ ทว่าตำแหน่งอัครเสนาบดีก็มีข้อจำกัด แม้ตรวจสอบได้แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด ต่อให้มีเงื่อนงำให้ไปตามสืบต่อก็ยังต้องมอบหมายให้ผู้อื่นเป็นคนไปทำ
ประตูห้องถูกผลักเปิดออกเบาๆ มู่ไป๋เข้ามากระซิบว่า “คุณชาย อู่หลิงอ๋องมาขอพบขอรับ”
“ไปซะ ข้ากำลังยุ่ง อย่ามาล้อเล่น” เซี่ยซูไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ
จู่ๆ ก็มีเงาทาบลงมาเบื้องหน้า เซี่ยซูจำต้องหยุดเขียน พอเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องตะลึงงัน “เป็นความจริงหรือนี่!”
เว่ยอี้จือหัวเราะน้อยๆ “รบกวนท่านแล้ว”
“ที่ไหนกันเล่า มู่ไป๋ จัดที่นั่งซิ”
มู่ไป๋ปูเสื่อไว้เบื้องหน้าโต๊ะ จากนั้นจึงปิดประตูแล้วออกไป สีหน้าท่าทางของเขาไม่อ่อนน้อมและไม่เย่อหยิ่ง
เว่ยอี้จือนั่งพับขาลงต่อหน้าเซี่ยซู แล้วพูดกับคนที่อยู่ข้างหลัง “ฝูเสวียน ยังไม่เข้ามาขอบคุณผู้มีพระคุณอีก”
ฝูเสวียนสวมชุดชาวหูยืนอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้นก็ไม่รอช้าก้าวมาข้างหน้า ก่อนจะยกชายเสื้อแล้วคุกเข่าลงกับพื้น ทำการคารวะอย่างเป็นทางการ “ขอบคุณท่านอัครเสนาบดีที่มีบุญคุณช่วยชีวิต”
เซี่ยซูประหลาดใจ “เอ๋? ที่พูดนี้หมายความว่าอะไรหรือ”
ฝูเสวียนเอ่ยว่า “บ่าวกำเนิดมาจากราชวงศ์ของแคว้นฉินจริง บิดาบ่าวนามว่าฝูหยาง เดิมทีเป็นราชเลขาธิการและเป็นผู้ตรวจการมณฑล เป็นเหลนของกษัตริย์แคว้นฉิน ภายหลังติดตามจ้าวกงฝูตาน น้องชายผู้เยาว์วัยของกษัตริย์แคว้นฉินซึ่งวางแผนเป็นกบฏ แต่ถูกอัครเสนาบดีเปิดโปงแผนการเสียก่อนจึงถูกสังหาร โลหิตหลั่งไหลท่วมเรือนชาน มีบ่าวเพียงผู้เดียวที่หนีรอดมาได้ ก่อนจะแฝงตัวเข้าสู่ค่ายทหารแคว้นจิ้น จวิ้นอ๋องถือเป็นผู้มีพระคุณอันใหญ่หลวง เปลี่ยนชื่อบ่าวเป็นเสวียนและรับมาไว้ข้างกาย แต่เพราะบ่าวดื้อรั้นไม่ยอมเปลี่ยนแซ่ ถึงเกือบทำให้จวิ้นอ๋องต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย วันนี้ต้องขอบคุณท่านอัครเสนาบดีที่ช่วยเหลือโดยเห็นแก่คุณธรรม พระคุณอันยิ่งใหญ่นี้ยากจะลืมเลือน” พูดจบก็หมอบคำนับอีกสามครั้ง
เซี่ยซูฟังจบก็ซาบซึ้งใจ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ช่างเถอะ นับแต่นี้ไปเจ้าก็จงลืมเลือนฐานะเก่าไปเสียเถิด จดจำแค่เพียงว่าตนเองเป็นทหารหาญของต้าจิ้นก็หมดเรื่องแล้ว”
เว่ยอี้จืออยู่ข้างๆ พลันพูดขึ้นว่า “ยังมีเรื่องล่านกกระเรียนเซียนด้วย คราวนี้ข้าติดค้างน้ำใจของท่านครั้งใหญ่แล้ว”
เซี่ยซูยิ้มอย่างสนิทชิดเชื้อ “แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น อู่หลิงอ๋องถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม ตัวข้าจะนิ่งดูดายได้หรือ”
“แต่นี่เป็นการทำลายชื่อเสียงอันดีงามของท่านเชียวนะ” การฆ่านกกระเรียนเซียนเป็นเรื่องที่ทำให้เสียชื่ออย่างที่สุด มีเพียงคนต่ำช้าเท่านั้นที่จะทำ เว่ยอี้จือจึงได้พูดเช่นนี้ เขามีท่าทีกล่าวโทษตนเองอย่างมาก จากนั้นจึงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านอัครเสนาบดีมีคุณธรรมสูงส่ง ไม่นิ่งดูดาย นับจากนี้ข้าจะปฏิบัติต่อเจ้าดุจดั่งพี่น้อง” แม้แต่คำเรียกก็ดูเปลี่ยนไป
เซี่ยซูเดิมทีอยากจะช่วยเขาเพื่อไม่ให้เขาต้องเสียทีให้แก่พวกมีใจทะเยอทะยาน ไม่คิดว่ายังจะได้สิ่งตอบแทนเช่นนี้ นางจึงแสร้งพูดอย่างปลาบปลื้มใจว่า “หวังว่าท่านอ๋องจะไม่รังเกียจ”
เว่ยอี้จือจึงเอ่ยว่า “เวลานี้ไม่มีใครอยู่ด้วย น้องชายไม่ต้องเกรงอกเกรงใจ เรียกข้าตรงๆ ว่าจ้งชิงก็ได้”
“เช่นนี้นับว่าดีเหลือเกิน ยามพวกเราอยู่กันส่วนตัวจ้งชิงก็เรียกข้าด้วยชื่อเล่นว่าหรูอี้ก็ได้”
เว่ยอี้จือยิ้ม “อดีตฮ่องเต้ฮั่นเกาจู่มีพระราชโอรสที่โปรดปรานมาก ทรงเรียกเขาว่าหรูอี้ เห็นทีข่าวลือข้างนอกจะเชื่อถือไม่ได้แล้ว เห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นที่โปรดปรานในสกุลเซี่ย”
เซี่ยซูกระตุกมุมปากพักหนึ่งเป็นเชิงว่ายอมรับ ทว่าแท้จริงแล้วชื่อเล่นนี้มารดาของนางเป็นคนตั้งให้ต่างหาก ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสกุลเซี่ยเลยแม้แต่น้อย
“เอาล่ะ เรื่องการเดินทางไปไคว่จี…” เว่ยอี้จือลากหางเสียง แววรื่นเริงเปี่ยมล้นในดวงตา “ข้าตอบตกลงก็แล้วกัน ได้หรือไม่”