เช้าตรู่วันถัดมา ขณะที่ทุกคนกำลังตื่นเต้นที่จะได้ไปเยือนหลันถิง คณะเดินทางก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา
หวังจิ้งจือเดินนำคนหลายคนมาด้วย ซึ่งก็คือญาติฝ่ายหญิงของเขา แต่ละคนล้วนงดงามดุจบุปผา ตระกูลอื่นๆ ก็พาเหล่าภรรยารูปโฉมงดงามมาด้วยเช่นกัน นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลก กระนั้นก็ยังกวาดตามองเรือนร่างหญิงสาวเหล่านี้ไม่วางตา
หนึ่งในนั้นดูโดดเด่นเป็นพิเศษ ดวงตาเฉี่ยวประดุจหงส์ ริมฝีปากแดงระเรื่อ ใบหน้างามดังดอกบัว เกล้ามวยสูง เอวบอบบางดูอรชรอ้อนแอ้น สวมกระโปรงสองชั้นสีสันสดใส ประดับกายด้วยปิ่นหยกและป้ายหยก ทุกสิ่งล้วนดูหรูหราราคาแพง ตัวคนย่อมจะมีฐานะไม่ธรรมดา
ที่แคว้นจิ้นไม่ได้เคร่งครัดเรื่องที่ชายหญิงจะใกล้ชิดกันนัก หญิงสาวผู้นี้เพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่ายังมิได้ออกเรือน แต่สามารถติดสอยห้อยตามหวังจิ้งจือได้นั้นย่อมจะต้องเป็นญาติของเขา
พวกผู้นำของแต่ละตระกูลรีบส่งสายตาบอกบุตรหลานในตระกูลที่ยังไม่ได้แต่งงานให้คอยจับตาดูหญิงสาวผู้นี้ไว้ให้ดี จะให้ดีที่สุดก็ต้องพานางกลับไปเป็นสะใภ้ให้ได้
ทว่าน่าเสียดาย หวังจิ้งจือกลับพานางมุ่งไปยังรถม้าของอู่หลิงอ๋องโดยไม่คิดหันไปมองผู้ใดเลย
ดูเหมือนว่าในที่สุดหวังจิ้งจือก็รับรู้เสียทีว่าต้าซือหม่ามาด้วย เขายืนอยู่นอกรถด้วยท่าทางสำนึกผิด เริ่มอารัมภบทจากเซียงฮูหยินมารดาของเขาก่อน คุยฟุ้งว่าสองตระกูลมีความสัมพันธ์ที่สนิทชิดเชื้อกันมากเพียงใด ร้องขอให้ช่วยรำลึกถึงความหลัง ตั้งมั่นกับปัจจุบันแล้วทอดสายตามองไปสู่อนาคต
จากนั้นเขาก็โน้มกายไปหาพลางเอ่ยแนะนำว่า “นี่คือลั่วซิ่วน้องสาวร่วมอุทรของข้าเอง ข้าคิดๆ ดูแล้วก็เห็นว่าเป็นญาติกันทั้งนั้น จึงเรียกนางให้มาพบท่านผู้เป็นลูกผู้พี่ทางมารดา”
แต่ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จากรถม้าของเว่ยอี้จือเลย ผ่านไปนานพักใหญ่ ฝูเสวียนก็โผล่หน้าออกมาจากในรถ แล้วพูดอย่างเก้อเขินว่า “ขออภัยท่านเจ้าเมือง จวิ้นอ๋องบอกว่าจะมารถม้าคันเดียวกับท่านอัครเสนาบดี คงจะยังไม่มาขอรับ”
“…” หวังจิ้งจือถึงกับมุมปากกระตุก
เวลานี้เอง รถม้าของเซี่ยซูเจ้าแห่งการวางท่าก็มาถึง ม่านรถถูกเลิกขึ้น เว่ยอี้จือลงจากรถม้ามาก่อน เขาสวมเสื้อตัวใหญ่แขนกว้าง รัดสายคาดเอวแถบกว้าง เรือนร่างสูงโปร่ง เกล้าผมแล้วคาดไว้ด้วยผ้าแพร ไร้ซึ่งกลิ่นอายสังหารอันเยือกเย็นของนักรบ กลับดูปล่อยตัวตามสบายเฉกเช่นบัณฑิต
เซี่ยซูตามลงมาติดๆ นางสวมชุดชาวหูสีดำซึ่งขับให้ตัวนางดูเยือกเย็น มีเพียงชายแขนเสื้อและคอเสื้อที่ปักลายกลีบบัวเอาไว้ การแต่งกายเช่นนี้ช่วยเสริมให้ใบหน้าขาวริมฝีปากแดงที่ดูอ่อนโยนของนางดูคมคายสมบุรุษมากขึ้น มองดูเป็นนักรบยิ่งกว่าเว่ยอี้จือเสียอีก
เดิมทีเซี่ยซูที่มีฐานะสูงกว่าจะต้องลงจากรถก่อน แล้วเว่ยอี้จือค่อยตามหลังลงมา ดังนั้นหวังลั่วซิ่วจึงเข้าใจผิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าการแต่งกายของทั้งสองช่างชวนให้ผู้คนสับสนเรื่องฐานะด้วย
นางจ้องมองเซี่ยซูไม่วางตา ยิ่งมองก็ยิ่งหวั่นไหว ในใจนึกยินดียิ่งนักที่พี่ชายจัดแจงให้เช่นนี้
เวลานี้หวังจิ้งจือจึงพาหวังลั่วซิ่วเดินเข้าไปหา โดยหันหน้าไปทางเซี่ยซูแล้วเอ่ยว่า “รีบมาคำนับท่านอัครเสนาบดีเสียสิ”
“…” หวังลั่วซิ่วมองดูเซี่ยซู แล้วหันไปมองเว่ยอี้จือ ก็รู้ว่าตนเองเข้าใจผิดแล้ว ใบหน้าจึงแดงก่ำทันที แม้แต่ตอนคำนับก็ยังอดเหม่อลอยไม่ได้
จากนั้นหวังจิ้งจือจึงรีบพาน้องสาวของตนไปหยุดอยู่ต่อหน้าเว่ยอี้จือทันที แล้วกล่าวคำพูดที่พล่ามใส่รถม้าเปล่าๆ ก่อนหน้านี้อีกครั้งหนึ่ง เว่ยอี้จือจึงค่อยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ฝ่ายเซี่ยซูที่อยู่ข้างๆ เพียงเอาพัดจีบป้องปากหัวเราะคิกจนไหล่สั่น
“ท่านเจ้าเมืองเกรงใจไปแล้ว แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก ข้าไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด”
“อู่หลิงอ๋องใจคอกว้างขวาง ข้ารู้สึกละอายใจเหลือเกิน”