เว่ยอี้จือพูดได้ดี ขณะที่หวังจิ้งจือก็เป็นคนเปิดเผยเป็นกันเองอยู่แล้วจึงไม่มีการคิดมากแต่อย่างใด พวกเขาทำทีพูดจาเกรงอกเกรงใจไม่กี่ประโยค สำหรับเรื่องเมื่อวานนั้นก็ให้ถือว่าแล้วๆ กันไป
ทุกคนออกเดินทาง ตอนที่หวังลั่วซิ่วเดินออกไปพร้อมกับพี่ชาย นางก็ยังหันมามองเซี่ยซูแวบหนึ่ง แล้วก้มหน้าจากไป
หากพูดถึงหน้าตาแล้ว ทั้งเซี่ยซูและเว่ยอี้จือล้วนดูสูสีกัน เมื่อพูดถึงนิสัยท่าทางแล้ว ต่างคนต่างก็มีดีคนละแบบ ต่างกันเพียงแค่ความประทับใจเมื่อแรกพบเท่านั้น
หลันถิงอาจมิใช่สถานที่ที่งดงามที่สุดในเมืองไคว่จี แต่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการมาเที่ยวชมทัศนียภาพและพักผ่อนหย่อนใจ
ปลายวสันต์เหล่าบุปผาเริ่มโรยรา ทอดสายตามองไปแล้วเห็นแต่พืชพรรณเขียวขจีขึ้นอย่างแน่นขนัด บ้างเขียวเข้มเขียวอ่อน บ้างหนาแน่น…บ้างก็บางตา ล้วนเลื้อยปกคลุมไปทั่วภูเขาหิน ด้านหน้าเป็นป่าไผ่ กิ่งไผ่ไหวเอนเสียดสีเสียงดังแซ่กซ่าท่ามกลางสายลม ล้อมรอบด้วยลำธารตื้นไหลริน สายน้ำเขียวใสไหลวนเวียนประดุจเข็มขัดหยก งดงามดั่งเป็นงานฝีมือชั้นครูที่รังสรรค์ขึ้นโดยเทพเซียน
รถม้าของทุกตระกูลต่างเข้ามาจอด ทุกคนลงเดินเท้า ยามเดินต่างก็เอ่ยชมไม่ขาดปาก เหล่าคุณชายหนุ่มน้อยทั้งหวนถิงและหยางจวี้ถือเป็นพวกแรกๆ ที่มาถึง ยิ่งแสดงความปลาบปลื้ม ตลอดทางร้องชมว่าช่างเป็นบุญตาที่ได้เห็น
เซี่ยซูประเมินไว้ก่อนหน้านั้นไม่ผิดเลย คุณชายเหล่านี้ล้วนไม่ชอบสวมใส่รัดกุม หวนถิงกับหยางจวี้สองคนนี้รูปร่างหน้าตาไม่เลว เรือนร่างสูงเพรียว เรื่องเปลือยแขนเผยหน้าอกนางยังรับไหว แต่บรรดาผู้เฒ่าผู้แก่วัยเจ็ดสิบแปดสิบที่รายล้อมนั่นช่วยระวังตัวหน่อยมิได้หรือ พอเห็นพุงพลุ้ยๆ ที่ยื่นย้อยออกมาแล้วนางสะเทือนใจจริงๆ
หวังจิ้งจือเป็นแขกประจำของหลันถิง เขาสั่งให้คนมาปูเสื่อสาดไว้สองข้างลำธารที่ไหลริน และที่เล่นกันทุกปีก็คือการละเล่นที่เรียกว่า ‘ไหลจอกตามน้ำ’
ทุกคนแยกกันนั่งสองฟากของลำธารโดยไม่แบ่งแยกฐานะสูงหรือต่ำ ไม่แยกตำแหน่งหลักหรือรอง เซี่ยซูเพิ่งนั่งลง ด้านซ้ายก็ถูกหวนถิงจับจอง ขณะที่ด้านขวากำลังมีคนมาแย่งก็ถูกนางยื่นมือไปขวางไว้ แล้วหันไปบอกกับเซี่ยหร่านที่อยู่ข้างๆ ว่า “เจ้ามานั่งตรงนี้สิ”
คนผู้นั้นแค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นญาติของอัครเสนาบดี เขาจำต้องเดินออกมาด้วยสีหน้าขุ่นเคือง
หวนถิงเก็บอาการตื่นเต้นไว้แทบไม่อยู่ ยิ่งได้พินิจดูเซี่ยซูใกล้ๆ ก็ยิ่งพบว่าอีกฝ่ายช่างงดงามหาใครเสมอเหมือนได้ยาก เขายังหนุ่มแน่นจึงไม่ค่อยสำรวม เอ่ยปากขึ้นว่า “วันนี้ได้นั่งอยู่ข้างๆ ท่านอัครเสนาบดีเช่นนี้รู้สึกราวกับได้อยู่ข้างอัญมณีล้ำค่าปานนั้น”
เซี่ยซูหันไปยิ้มให้หวนถิงแล้วเอ่ยว่า “คุณชายหวนชมเกินไปแล้ว”
ยามที่หวนถิงอยากจะพูดอะไรอีก หยางจวี้ที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งก็หันมาขยิบตาให้เขาอย่างเอาเป็นเอาตาย หวนถิงจำต้องระมัดระวังปาก ไม่กล้าพูดพล่ามไปเรื่อยเปื่อยอีก
เว่ยอี้จือนั่งอยู่ข้างๆ หยางจวี้ ส่วนหวังจิ้งจือก็นั่งข้างเว่ยอี้จือ เซี่ยซูเงยหน้าขึ้นเห็นสองคนพูดคุยหัวเราะกันสนุกอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้ว นางก็รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ
เซี่ยซูหันไปมองสาวน้อยที่นั่งอยู่ด้านหลังหวังจิ้งจือแวบหนึ่ง การแต่งงานผูกสัมพันธ์ในหมู่ตระกูลชั้นสูงถือเป็นเรื่องปกติ ทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้หากลองชี้นิ้วไปมั่วๆ ล้วนพบว่ามีสัมพันธ์ทางเครือญาติกันทั้งสิ้น แต่ถ้าเว่ยอี้จือกับหวังจิ้งจือเกี่ยวดองกันผ่านการแต่งงานจริงๆ ไม่เพียงนางที่ต้องตระหนก แม้แต่ฮ่องเต้ก็ต้องพลอยแตกตื่นไปด้วย
สาวใช้สกุลหวังเดินไปมาอย่างขวักไขว่ในที่จัดเลี้ยง สุราชั้นดีไหแล้วไหเล่าถูกยกมาแจกจ่าย จอกสุราฝังทองลงรักอย่างงดงามประณีตถูกวางลงในสายน้ำ เสียงหัวเราะรื่นเริงลอยไปตามลม ผสมปนเปไปกับเสียงกอไผ่เสียดสีแผ่วเบา…คล้ายกับอยู่บนสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน