เซี่ยซูไม่สนใจการประชันกลอนสักเท่าใด นางเพียงต้องการจะสำแดงทั้งพระเดชและพระคุณเมื่อคนเหล่านี้ได้เล่นสนุกกันจนเต็มที่แล้วเท่านั้น เพื่อจะได้บรรลุเป้าหมายในการสร้างความมั่นคงให้แก่อำนาจของสกุลเซี่ย การหยั่งเสียงสกุลหวังก็ถือเป็นอีกส่วนสำคัญของการเดินทางครั้งนี้ด้วย
เมื่อเซี่ยซูไม่ขอร่วมประชันกลอนกับผู้อื่น เซี่ยหร่านจึงไม่อาจบอกปัดได้ ขณะที่นางกำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น เขาก็ได้แต่งกลอนไปแล้วสามบท ร่ำสุราไปแปดชาม ท่าทางคล้ายจะเมามายแล้ว
เซี่ยซูเห็นเซี่ยหร่านลิ้นแข็งไปหมดแล้วก็รีบเรียกมู่ไป๋ให้มาพาตัวเขาออกไป พอเขาไปแล้ว ที่นั่งตรงนั้นจึงมีคนมานั่งแทนที่อย่างรวดเร็ว
“ท่านอัครเสนาบดี ข้าลู่ซีฮ่วน โชคดีนักที่ได้มาพบท่าน ไม่ทราบว่าจะร่วมดื่มกับข้าสักจอกได้หรือไม่”
คนผู้นี้ใบหน้าคมคาย เพียงแต่ตัวเตี้ยไปสักหน่อย หากไม่ได้ยินเสียงเขาพูด นางคงคิดว่าเขาเป็นหนุ่มน้อยผู้หนึ่ง เมื่อพบว่าเขามีสำเนียงของชาวอู๋ ก็รู้ว่าเขาเป็นลูกหลานจากตระกูลชั้นสูงทางใต้ นางจึงยิ้มแย้มพลางยกจอกสุราขึ้นมา “ย่อมได้สิ คุณชายลู่ เชิญ”
เห็นได้ชัดว่าลู่ซีฮ่วนประหลาดใจ ด้วยไม่คิดว่าเซี่ยซูจะให้เกียรติเขาถึงเพียงนี้
เรื่องนี้ย่อมมีเหตุผลเบื้องหลัง
ตอนนั้นทั่วหล้ารวมเป็นหนึ่ง เมืองหลวงของต้าจิ้นคือลั่วหยาง เหล่าตระกูลชั้นสูงแต่ละตระกูลล้วนเป็นตระกูลชื่อดังจากทางเหนือ ภายหลังดินแดนทางเหนือถูกผู้อื่นยึดครองไป ราชสำนักจึงถูกบีบให้ต้องย้ายมาตั้งรกรากยังเมืองเจี้ยนคัง เหล่าตระกูลดังจากทางเหนือจึงพาครอบครัวอพยพลงมาทางใต้จนเกิดเป็นสภาพเช่นทุกวันนี้
ถึงกระนั้นตระกูลใหญ่ทางใต้ก็ต่อต้านการอพยพครั้งนี้ เนื่องจากพวกเขาสร้างอำนาจมาตั้งแต่ยุคตงอู๋แล้ว มองตระกูลดังจากทางเหนือเหล่านี้เป็นเพียงพวกอพยพลี้ภัย มาถึงทางใต้แล้วนอกจากจะรวบตำแหน่งระดับสูงในราชสำนักไว้ไม่พอ ยังยึดครองที่ดินของพวกเขาไว้ด้วย ทำให้พวกเขาเคียดแค้นจนต้องก่นด่าว่าเป็นพวก ‘ต่ำช้าสามานย์’ เลยทีเดียว
ตระกูลใหญ่ของทางใต้มีสกุลลู่ สกุลกู้ สกุลจาง และสกุลจูเป็นแกนนำ ลู่ซีฮ่วนเป็นบุตรชายคนโตจากภรรยาเอกของประมุขสกุลลู่ บิดาเขามีตำแหน่งอยู่ในเมืองเจี้ยนคัง ทว่าคราวนี้ไม่ได้มาด้วย เขาจึงมาแทนบิดา ตลอดทางเขาล้วนถูกกีดกันจากพวกตระกูลใหญ่จากทางเหนือ ยิ่งได้เห็นการใช้ชีวิตอย่างแสนสบายของพวกสกุลหวังด้วยตาตนเองเช่นนี้ อีกทั้งดินแดนแถบไคว่จีนี้ก็เคยเป็นถิ่นของสกุลลู่ด้วย ทำให้เขาแค้นเคืองใจยิ่งนัก
ตระกูลใหญ่ทางใต้จนกระทั่งบัดนี้มีก็แต่บิดาเขาผู้เดียวที่มีตำแหน่งขุนนางระดับสูง นั่นก็เป็นเพราะถูกสกุลหวังยึดครองที่ดิน ฮ่องเต้จึงหมายปลอบประโลมตระกูลเขาด้วยการแสดงความเมตตา แต่จะมีใครทนต่อความอัปยศนี้ได้เล่า ลู่ซีฮ่วนนึกอยากให้บทเรียนแก่พวกต่ำช้าสามานย์เหล่านี้มานานแล้ว
เซี่ยซูที่เป็นถึงอัครเสนาบดีย่อมต้องเป็นตัวแทนของพวกคนต่ำช้าสามานย์อย่างไม่ต้องสงสัย เขาทำทีมาขอคารวะดื่มสุรา แต่ที่จริงแล้วต้องการมาท้าทายต่างหาก ย่อมคิดไม่ถึงว่าเซี่ยซูจะให้เกียรติดื่มสุรากับเขาเช่นนี้ ทั้งไม่ได้ดูแคลนเขาเฉกเช่นที่ผู้อื่นทำ
เซี่ยซูไม่เพียงดื่มสุราด้วย ดื่มแล้วยังเอ่ยชมว่าสุราดีด้วยสำเนียงชาวอู๋อีกต่างหาก
ลู่ซีฮ่วนนิ่วหน้า พวกคนสามานย์เหล่านี้รังเกียจสำเนียงชาวอู๋จะแย่ บัดนี้ยังสอนสั่งบุตรหลานทั้งชายหญิงให้ใช้ภาษากลางที่ลั่วหยางอยู่เลย หากบอกว่าก่อนหน้านี้เซี่ยซูแสร้งดื่มสุรากับเขาพอเป็นพิธี บัดนี้ก็ต้องบอกว่านางแสดงท่าทีเป็นมิตรอย่างมีเป้าหมายแอบแฝงแล้ว
เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งจู่ๆ ก็พูดขึ้น “วันนี้ท่านอัครเสนาบดีอยู่ด้วย ขอให้ท่านช่วยเป็นพยานให้ข้าที ข้าจะขอหญิงสกุลหวังมาแต่งงานด้วย ซึ่งก็คือน้องสาวร่วมอุทรของท่านเจ้าเมืองหวังที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม”
ทุกคนในที่นั้นต่างตกตะลึง หวังจิ้งจือมีสีหน้าเคร่งเครียดในทันที