ก่อนออกเดินทางสองสามวัน เกิดเรื่องที่ไม่เล็กไม่ใหญ่แทรกขึ้นมา…เว่ยอี้จือส่งรองเท้าไม้คู่หนึ่งมาให้เซี่ยซู
รองเท้าไม้ทำขึ้นอย่างประณีต ดูภายนอกเหมือนจะหนัก ทว่าพอถือไว้ในมือแล้วกลับเบาสบายยิ่ง เซี่ยซูวางรองเท้าไว้บนโต๊ะพลางจ้องมองอยู่นาน กระทั่งอดใจไม่ไหวหยิบไปวางเทียบกับฝ่าเท้าอยู่พักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจถามมู่ไป๋ด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าว่าอู่หลิงอ๋องมีเจตนาใด”
มู่ไป๋ใคร่ครวญดูแล้วจึงเอ่ยตอบ “คงหวังประจบคุณชายน่ะขอรับ”
เซี่ยซูเบะปาก ก่อนส่งรองเท้าไม้ให้มู่ไป๋ “เจ้ารับเอาไว้เถอะ ข้าใส่ไม่ได้หรอก”
ถึงตอนนี้มู่ไป๋จึงพูดขึ้นอย่างลังเล “อันที่จริง…บ่าวรู้สึกว่าการไปไคว่จีคราวนี้น่าจะได้ใช้สิ่งนี้นะขอรับ ลูกหลานชนชั้นสูงมักจะรักสนุก มีหรือจะไม่สวมเสื้อบางเบาสวมรองเท้าไม้ ดื่มสุราจนเต็มคราบ แม้แต่อู่หลิงอ๋องที่ขึ้นเขาฟู่โจวเมื่อคราวก่อนก็ยังแต่งกายเช่นนี้มิใช่หรือ ใครๆ ก็ทำเช่นนี้กันทั้งนั้นขอรับคุณชาย”
แววตาเซี่ยซูดูหวาดหวั่น “จะต้องแต่งกายเช่นนั้นด้วยหรือ”
มู่ไป๋พยักหน้าหงึกๆ
เซี่ยซูรู้สึกว่าหากต้องแต่งกายเช่นนั้นคงไม่ดีแน่ มิน่าเล่า กระทั่งเว่ยอี้จือยัง ‘อุตส่าห์’ ส่งรองเท้าไม้มาให้ คงจะพิจารณาแล้วว่านางเพิ่งได้เข้าร่วมงานชุมนุมพวกนี้เป็นครั้งแรกจึงช่วยเตือนข้าเช่นนี้
เหล่าลูกหลานชนชั้นสูงล้วนชอบปล่อยตัวตามสบายโดยไม่ยึดกรอบธรรมเนียม พอถึงช่วงอากาศอบอุ่นจึงไม่สวมเสื้อผ้ารัดกุม ข้างในไม่สวมเสื้อตัวกลาง ห่มแต่เสื้อนอกที่เปลือยแขนเพียงตัวเดียว บ่อยครั้งยังเผยทั้งแขนและหน้าอกด้วย ต่างคนต่างหลงใหลคลั่งไคล้ในรูปโฉมของตนเอง
ทว่าเซี่ยซูกลับทำไม่ได้ เสื้อนอกจะหลวมอย่างไรก็ได้ แต่เรื่องไม่สวมเสื้อตัวกลางนี่ถึงกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ยังไม่ต้องพูดถึงงานชุมนุมที่ไคว่จีเลย ตอนนี้ปลายฤดูวสันต์กำลังจะผ่านไป คิมหันตฤดูใกล้เข้ามา ถึงตอนนั้นหากนางยังแต่งตัวมิดชิดอีกคงต้องถูกมองว่าแปลกประหลาดเป็นแน่
นางเดินไปเดินมาอยู่ที่เดิม ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วก็พูดกับมู่ไป๋ว่า “เตรียมชุดชาวหูให้ข้าชุดหนึ่ง”
“อ๊ะ?” มู่ไป๋ได้ยินเช่นนั้นก็อยากร้องไห้ คุณชาย ท่านเติบโตจนป่านนี้ยังไม่รู้ธรรมเนียมอีกหรือ ท่าน…ท่าน…ท่าน…ทำเช่นนี้ดีต่อใครกัน!
เวลานี้เว่ยอี้จือกำลังเตรียมตัว เมื่อเซียงฮูหยินรู้ว่าบุตรชายจะไปไคว่จีก็รีบมาพูดกับเขาอยู่หลายประโยค เขาได้ฟังแล้วทั้งรู้สึกจนปัญญาทั้งขบขัน
“ท่านแม่คิดอย่างไรจึงได้พูดเช่นนี้”
เซียงฮูหยินถลึงตามองเขาอย่างโกรธเกรี้ยว “ไปไคว่จีคราวนี้เจ้าจะได้พบลูกพี่ลูกน้องสกุลหวัง เป็นโอกาสที่ดีนัก ถึงตอนนั้นเจ้าต้องคอยดูว่ามีลูกพี่ลูกน้องหญิงที่ผ่านพิธีปักปิ่น บ้างหรือไม่ หากไม่มีก็คอยสังเกตลูกสาวจากตระกูลชั้นสูงตระกูลอื่นๆ ให้มากหน่อย เจ้าจะให้แม่ต้องรออุ้มหลานจนสายตาฝ้าฟางเลยหรือไร”
เว่ยอี้จือยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้อย่ารีบร้อนนักเลย”
เซียงฮูหยินกระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ “จะไม่รีบได้อย่างไร เจ้าจะหลบเลี่ยงชัดๆ! แม่อยากจะฟ้องต่อหน้าป้ายวิญญาณพ่อเจ้าเหลือเกินว่าเจ้ามันอกตัญญู!”
เว่ยอี้จือรีบเข้าไปดึงแขนมารดาไว้ “เอาเถอะๆ ข้าจะลองมองหาก็แล้วกัน…ดีหรือไม่”