ลูกหลานจากหลายตระกูลพากันกระโดดขึ้นรถม้าของเว่ยอี้จือ ด้วยอยากจะร่วมเดินทางไปกับเขา เซี่ยซูเห็นเข้าก็ประหลาดใจ ปกติแล้วเว่ยอี้จือดูเหมือนจะไปไหนมาไหนตามลำพัง นางย่อมคิดไม่ถึงว่าเขาจะให้ความเป็นกันเองกับผู้อื่นถึงเพียงนี้
บัดนี้นางก็เรียกขานเขาว่าพี่น้องเป็นการส่วนตัวมิใช่หรือ
เจ้านี่มีฝีมือเก่งกาจไม่เบา…
มือเว่ยอี้จือเลิกม่านขึ้น ก่อนพูดกับพวกเขาสองสามประโยค ในรถก็มีเสียงหัวเราะครืน คุณชายวัยหนุ่มหนึ่งในนั้นที่ชื่อว่าหยางจวี้ชี้ออกไปนอกรถแล้วเอ่ยว่า “ท่านอัครเสนาบดีกำลังมองมาทางนี้ หรือว่าพวกเราส่งเสียงดังจนเกินไป”
ทุกคนหันขวับมามองโดยไม่ได้นัดหมาย เว่ยอี้จือก็ไม่ต่างกัน เขาหันไปยิ้มให้เซี่ยซู จากนั้นจึงยกมือประสานคำนับ คุณชายคนอื่นๆ จำต้องหันไปคำนับทักทายเซี่ยซูทีละคนๆ
เซี่ยซูพยักหน้ารับการคำนับ ก่อนจะหันไปยิ้มให้เว่ยอี้จือด้วย
ทุกคนต่างพากันมองจนเคลิบเคลิ้ม คุณชายหวนถิงจากสกุลหวนนั้นอาการหนักกว่าใคร เขามองดูกระทั่งเซี่ยซูปล่อยม่านลงแล้วจึงค่อยได้สติ เนื่องจากเขาเพิ่งได้เข้าสู่แวดวงขุนนาง ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ที่ได้พบเซี่ยซูบ่อยครั้ง วันนี้ได้พินิจดูหน้าตาของอีกฝ่ายอย่างละเอียดก็พลันตกตะลึงพรึงเพริดยิ่ง “หากท่านอัครเสนาบดีเป็นสตรีล่ะก็ จะต้องทำให้ขุนนางทั้งหลายพากันแย่งชิงกันอย่างเอาเป็นเอาตายแน่นอน”
หยางจวี้รู้ว่าหวนถิงยังหนุ่มแน่น จึงเอ่ยเตือนเขาด้วยความหวังดี “เอินผิง อย่าพูดไปเรื่อยเปื่อย หากไปเข้าหูท่านอัครเสนาบดีขึ้นมา เกรงว่าจะทำให้เจ้าเดือดร้อนเอาได้”
เว่ยอี้จือยิ้มแล้วเอ่ยว่า “หากเขาเป็นสตรีจริง มิใช่ว่าต้องเปลี่ยนให้ผู้อื่นมาเป็นอัครเสนาบดีแทนหรอกหรือ”
ทุกคนตกตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะพากันหัวเราะร่า เรื่องนี้เพียงแค่หยอกเย้ากันเล่นเท่านั้น
ยังไม่ทันสิ้นเสียงหัวเราะก็มีเสียงม้าร้องฮี้ยาว เด็กรับใช้พากันร้องตะโกนบอกให้คนเดินเท้าหลีกทาง ทหารที่ทำหน้าที่คุ้มกันเดินแถวอย่างเป็นระเบียบ นักขับร้องหญิงที่ตระกูลชั้นสูงพาร่วมเดินทางไปด้วยคอยส่งเสียงพูดคุยหัวเราะคิกคักเป็นที่สนุกสนาน เหล่าคุณชายก็พูดคุยกันอย่างเบิกบานใจ
รถม้าของเซี่ยซูแล่นอยู่ตรงกลาง ข้างหน้ามีแม่ทัพเชอจี้นำขบวนคอยคุ้มกัน ข้างหลังมีรถม้าของเซี่ยหร่านแล่นตามติดไปด้วยทุกที่
ระหว่างการเดินทางอันแสนจะน่าเบื่อนั้น เซี่ยซูก็กินทับทิมที่มู่ไป๋คอยแกะให้ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายเสียเหลือเกิน นางจึงกางพัดออกบังใบหน้า
“มู่ไป๋ ถึงแล้วปลุกข้าด้วย” กล่าวจบนางก็หลับไปทันที
มู่ไป๋รีบปิดม่านไว้อย่างดี หากมีใครมาเห็นอัครเสนาบดีหลับใหลอยู่ในรถม้าล่ะก็ ข้าคงต้องปลิดชีพตนเองไปพบท่านเซี่ยหมิงกวงเป็นแน่
ไคว่จีมีทัศนียภาพที่งดงามไม่เหมือนใคร ขุนเขาสูงผืนน้ำงดงาม เป็นสถานที่ที่คนมีชื่อเสียงและบัณฑิตมากมายล้วนชื่นชอบ คนสกุลหวังส่วนมากมักจะอาศัยอยู่ที่นี่ ในบรรดาคนเหล่านั้นก็มีหวังจิ้งจือที่เป็นคนสำคัญ
ประมุขสกุลหวังในตอนนี้ก็คือหวังจิ้งจือ อายุเพิ่งสามสิบก็มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือไปทั้งในและนอกราชสำนัก ว่ากันว่าตอนนั้นเขาหัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมออกมาเป็นขุนนาง ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของเขาคือการอยู่บ้านนั่งเขียนอักษรและวาดภาพ ฮ่องเต้จะมอบตำแหน่งให้เขาอยู่หลายครั้ง เขาก็ล้วนปฏิเสธไม่ยอมรับ ทั้งยังพาอนุภรรยาโฉมงามออกท่องเที่ยวไปทั่ว เดินทางครั้งหนึ่งก็ใช้เวลาร่วมครึ่งปี
บิดาเขาโกรธมากจนถึงกับลาโลกไปด้วยเหตุนี้ หวังจิ้งจือจึงค่อยรู้สึกผิด จากนั้นก็เข้ารับราชการ ไม่ถึงสามปีก็ขึ้นระดับหัวหน้าที่ไคว่จี ทั้งยังได้รับตำแหน่งแม่ทัพฝ่ายขวามาอีกด้วย
บัดนี้สกุลเซี่ยกำลังรุ่งเรืองในราชสำนัก หวังจิ้งจือเองก็ทราบข่าวนานแล้ว ดังนั้นเมื่อเซี่ยซูออกปากว่าจะมาจัดงานชุมนุมที่ไคว่จี เขาจึงรีบตอบรับในทันที
เทียบกับความโกรธแค้นของสมาชิกสกุลหวังคนอื่นๆ สำหรับเขาแล้ว ความอยากรู้อยากเห็นกลับมีมากกว่า อัครเสนาบดีที่มีเลือดของสามัญชนครึ่งหนึ่งผู้นี้…แท้ที่จริงเป็นคนเช่นไรกันแน่