นานแล้วที่ไม่มีใครเรียกนางด้วยชื่อนี้
เซี่ยซูลดพัดจีบที่ปิดหน้าลงก็เห็นเว่ยอี้จือในชุดลำลองสีดำเหลือบเขียวนั่งอยู่ต่อหน้า ทว่าสีชุดที่ดูมืดคล้ำนั้นไม่อาจข่มสง่าราศีของเขาลงได้เลย ในดวงตาเขามักจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอ พอมองตาเขาก็เหมือนได้เห็นอัญมณีส่องประกายวับวาวอยู่ในนั้น
“ที่แท้ก็หลับอยู่นี่เอง หวังจิ้งจือมาถึงแล้ว หากเจ้ายังไม่ตื่นอีกจะเป็นการเสียมารยาท”
เซี่ยซูรีบผุดลุกขึ้นนั่งพลางจัดแต่งเสื้อผ้าให้เข้าที่ นางแอบป้ายตาด้วย เมื่อไม่เห็นขี้ตาติดเกรอะกรังก็ถอนหายใจโล่งอก
“ข้าจะลงไปแล้ว” เซี่ยซูเอ่ยขึ้นมา
เว่ยอี้จือยกมือขึ้นห้าม “ช้าก่อน รอให้ข้าลงไปก่อน แล้วเจ้าค่อยลงจากรถ ผู้คนจะได้ไม่ครหา”
เซี่ยซูทำสีหน้าสลด ไยเจ้าต้องขึ้นมาด้วยเล่า
เว่ยอี้จือลงจากรถ คราวนี้มู่ไป๋ยืนอยู่ข้างๆ เขา พูดด้วยความรู้สึกผิด “โชคดีที่อู่หลิงอ๋องมา ไม่เช่นนั้นบ่าวคงถูกโยนให้เต่ากิน ไม่ก็คุณชายต้องขายหน้าแน่”
เซี่ยซูมองมู่ไป๋ด้วยสายตาปลอบประโลม “เอาเถอะๆ ข้าก็แค่ขี้โมโหไปหน่อยเวลาที่ถูกปลุกเท่านั้นเอง”
หวังจิ้งจืออยู่นอกรถ เห็นว่านานแล้วแต่เซี่ยซูยังไม่ลงมา ก็คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่พอใจนึกว่าเขาดูถูก จึงไม่มัวแต่ทักทายคนอื่นๆ อีก เดินไปคำนับเซี่ยซูที่เบื้องหน้ารถม้า “เจ้าเมืองไคว่จีหวังจิ้งจือ ขอต้อนรับท่านอัครเสนาบดี”
มู่ไป๋เลิกม่านขึ้น สารถียกหินรองเท้ามาวางเรียบร้อย เซี่ยซูก็ปรากฏกายออกมา ชุดสีแดงเห็นแล้วแสบตายิ่ง นางยืนได้มั่นแล้วจึงมองสำรวจหวังจิ้งจือขึ้นๆ ลงๆ วางท่าอย่างสง่างามแล้วพูดว่า “ท่านเจ้าเมืองหวัง ตามสบายเถอะ”
หวังจิ้งจือยืนตัวตรง เขาสวมหมวกผ้าโปร่งสีดำทรงสูง สวมชุดพิธีการสีน้ำเงินเข้ม คาดเข็มขัดหยกที่เอว การแต่งกายดูสุภาพเรียบร้อย เห็นได้ชัดว่าให้ความเคารพต่อเซี่ยซูเป็นอย่างมาก
สมาชิกสกุลหวังล้วนตามมาข้างหลัง ส่วนใหญ่แต่งกายเต็มยศ ต่างพากันมาคำนับเซี่ยซู ก้มหน้าหลุบตา ท่าทางนอบน้อม ซึ่งถือเป็นตระกูลที่มีความพร้อมเพรียงกันอย่างมาก โดยมีหวังจิ้งจือเป็นผู้นำ
หวังจิ้งจือพูดทักทายตามมารยาทอีกสักหน่อย จำพวกว่าทุกท่านเดินทางตรากตรำมาอย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแล้ว จากนั้นก็เดินนำทุกคนเข้าเมือง
ในตัวเมือง ตลอดสองข้างทางล้วนมีชาวบ้านมารวมตัวกันอย่างเนืองแน่น ครึ่งหนึ่งถามกันว่าอัครเสนาบดีนั่งรถม้าคันใด อีกครึ่งถามว่าอู่หลิงอ๋องนั่งรถม้าคันใด ดวงตาหลุกหลิกพิกลด้วยไม่ทราบจะหันไปมองรถม้าคันใดดี
หวังจิ้งจือขี่ม้านำหน้า เขาเห็นท่าทางเช่นนี้ของชาวบ้านแล้วก็สะบัดแส้พลางชี้ไปที่ผู้คนตามถนนหนทาง ก่อนจะหัวเราะแล้วเอ่ยเย้าว่า “ตอนแรกพวกเจ้าต่างบอกกันมิใช่หรือว่าข้ารูปงามที่สุด พอท่านอัครเสนาบดีมาถึง เหตุใดจึงพากันคืนคำเช่นนี้เล่า!”
ทุกคนพากันหัวเราะร่า ต่างก็กระเซ้าเย้าแหย่เขาว่า “วันๆ เห็นแต่ท่านเจ้าเมืองจนรู้สึกเบื่อแล้วนี่”
“ชิ! เจ้าพวกโลเลกลับกลอกเอ๊ย!”
ชาวบ้านพากันหัวเราะครืนใหญ่
ชาวบ้านต่างก็เรียกหวังจิ้งจือว่า ‘บัณฑิตเจ้าสำราญอันดับหนึ่งแห่งต้าจิ้น’ ทว่ารูปร่างหน้าตาของเขากลับไม่ได้ดูอ่อนโยนเฉกเช่นเซี่ยซู ทั้งความโดดเด่นสะดุดตาก็ยังห่างไกลจากเว่ยอี้จือนัก ความเจ้าสำราญของเขาอยู่ตรงที่นิสัยใจคอ ประหนึ่งสุราชั้นดีไหหนึ่งที่หมักบ่มมานานปี เพียงมองดูด้วยตาไม่อาจเห็นความแตกต่าง แต่หากวันใดได้สูดกลิ่นก็แทบจะเมามาย ความเจ้าสำราญของเขานั้นไม่มีใครทาบติด และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ชาวบ้านต่างรักและนับถือเขา
เซี่ยซูหันออกไปมองข้างนอกแล้วพูดด้วยความประหลาดใจ “หวังจิ้งจือผู้นี้ช่างวางตัวเป็นกันเองเสียจริง มิน่าจึงสนิทสนมกับชาวบ้านได้ถึงเพียงนี้”
มู่ไป๋กลอกตาแล้วเอ่ยว่า “พวกสกุลหวังก็เล่นลูกไม้เก่งเช่นนี้แหละขอรับ!”
คนที่มาด้วยมีจำนวนมาก ที่พักจึงเป็นปัญหาสำคัญ ถึงอย่างนั้นหวังจิ้งจือก็ได้เตรียมการไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว เขาจัดแจงที่พักให้ทุกคนอย่างเหมาะสม บางคนพักในบ้านของสมาชิกสกุลหวัง พอกำลังจะนึกรังเกียจว่ามีตำแหน่งหน้าที่ที่ต่ำกว่า ทว่าพอเห็นว่าที่แท้เป็นคนคุ้นเคยก็ต่างปลาบปลื้มยินดี บางคนรังเกียจว่าที่พักไม่ค่อยดี แต่พอเห็นอีกฝ่ายเป็นญาติสายตรงกับหวังจิ้งจือก็รู้สึกอยากจะสานสัมพันธ์ด้วยเสียอย่างนั้น