เพียงแค่ดูจากเรื่องนี้ก็เห็นได้ชัดว่าหวังจิ้งจือเก่งกาจเพียงใด ไม่ใช่ว่าใครก็ได้ที่จะสืบดูเรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังของตระกูลใหญ่เหล่านี้ได้กระจ่างชัดถึงเพียงนี้
จวนของหวังจิ้งจือใช้ต้อนรับขับสู้เซี่ยซูเพียงผู้เดียว เซี่ยหร่านเพียงติดสอยห้อยตามเท่านั้น แม้แต่องครักษ์ก็ไม่ได้อยู่ด้วย ทั้งที่จริงๆ แล้วจวนของเขาออกจะกว้างใหญ่ แต่ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อเป็นการให้เกียรติเซี่ยซูเท่านั้น
สถานที่กว้างขวางที่สุดก็คือสวนดอกไม้ของหวังจิ้งจือ ยามพลบค่ำเขาจึงจัดเลี้ยงต้อนรับทุกคน โดยจัดวางโต๊ะเลี้ยงขนาดเล็กกว่าร้อยโต๊ะไว้ในสวนดอกไม้แห่งนี้ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ดูแออัดเลยแม้แต่น้อย กลับดูยิ่งใหญ่
เซี่ยซูย่อมนั่งที่หัวโต๊ะ มีหวังจิ้งจือนั่งเป็นเพื่อนด้วยตนเอง ทุกคนต่างก็ได้ที่นั่งอันเหมาะสมแล้ว เห็นจะมีเพียงที่นั่งของเว่ยอี้จือที่ทำให้ผู้คนตกตะลึง บัดนี้ฐานะของเขาเป็นรองก็แค่เซี่ยซูขั้นเดียวเท่านั้น แต่กลับถูกจัดให้นั่งตรงมุม หากเซี่ยซูไม่ตั้งใจมองหาก็คงจะหาเขาไม่พบ
แต่พอเซี่ยซูหันไปมองดูหวังจิ้งจือที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วกลับดูเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว
ไม่น่าจะเป็นเช่นนี้ได้ ดูจากความสามารถในการจัดการของหวังจิ้งจือแล้วไม่น่าจะสะเพร่าถึงเพียงนี้ นอกเสียจากว่าเป็นการจงใจ?
เซี่ยซูย่อมไม่สะดวกจะพูดเตือนหวังจิ้งจือ อย่างไรเสียโดยเปิดเผยนางก็ยังเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับเว่ยอี้จืออยู่ แต่หากไม่ทำอะไรเลยจริงๆ ก็เกรงว่าถึงตอนนั้นในใจเว่ยอี้จือจะนึกเคลือบแคลงนางได้ จากนี้คงจะเป็นพี่น้องกันยากเสียแล้ว
ดังนั้นเซี่ยซูจึงคอยเหลือบมองไปทางเว่ยอี้จือเป็นครั้งคราว ความหมายก็คือ…แม้น้องชายผู้โง่เขลาได้นั่งที่นั่งอันทรงเกียรติ ทว่าในใจยังเป็นห่วงกังวลถึงเจ้าที่นั่งตรงมุมนั้น ดังนั้นจงอย่าได้คิดแค้นข้าเลยนะ
เว่ยอี้จือกลับพูดคุยหัวเราะกันอย่างออกรสกับคนข้างๆ ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องที่นั่งแม้แต่น้อย บางครั้งยังหันมาสบตากับนางพลางส่งยิ้มให้ด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
หวังจิ้งจือเห็นเซี่ยซูคอยมองเหม่อไปไกลเป็นครั้งคราวจึงพูดขึ้นว่า “ท่านคงจะเบื่อเสียแล้วกระมัง จะให้นักขับร้องหญิงมานั่งเป็นเพื่อนหรือไม่ขอรับ”
เซี่ยซูรีบบอกปัด “วันนี้นั่งรถม้าจนเหนื่อยแล้ว เรื่องนั้นไว้ก่อนเถอะ”
คนอื่นๆ ต่างพากันผิดหวัง หวังจิ้งจือชมชอบหญิงงามจนเป็นที่เลื่องลือ นักขับร้องหญิงในจวนเขาย่อมต้องเป็นหญิงชั้นดี ทุกคนต่างกระเหี้ยนกระหือรือนานแล้ว กลายเป็นว่าเซี่ยซูทำเป็นคนดีบอกปัดไปเสียอย่างนั้น
ช่างไม่รู้จักหาความสำราญบ้างเลย ไม่มีสาวงามข้างกายไหนเลยจะกินข้าวลง!
กินข้าวไม่ลงก็พานให้งานเลี้ยงต้องเลิกรา
พอกินข้าวแล้วทุกคนก็นั่งลงพูดคุยกันเรื่องดินฟ้าอากาศ ต่างพูดคุยกันอย่างไม่เป็นเรื่องเป็นราว
ชาวต้าจิ้นมีความสุนทรีย์ ผู้ที่เรียกว่า ‘หนุ่มเจ้าสำราญ’ ไม่เพียงต้องหน้าตาดีเท่านั้น ยังต้องมีฝีปากคมคายอีกด้วย ยามที่นั่งลงแล้วจะต้องพูดเสียจนคนอื่นๆ ต่อปากต่อคำด้วยไม่ได้จึงจะนับว่าเก่งกาจ
ดังนั้นสายตาทุกคู่จึงรวมอยู่ที่หวังจิ้งจือ
หวังจิ้งจือกำลังพูดคุยอย่างสนุกสนาน เขาสามารถยกถ้อยคำจากคัมภีร์โบราณได้ลื่นไหลประหนึ่งสายน้ำ พูดคุยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตระกูลซึ่งมีชื่อเสียงที่อยู่ในที่นั้น แต่กลับไม่มีเรื่องของสกุลเว่ยเลย เขายังคงทำทีประหนึ่งว่าไม่ได้ใส่ใจต้าซือหม่าคนปัจจุบันซึ่งอยู่ในที่แห่งนั้นด้วย กระทั่งจะเอ่ยถึงเว่ยอี้จือสักครึ่งคำก็ไม่มี
เซี่ยซูแหงนหน้าขึ้นมองดวงดาว คืนนี้ทางช้างเผือกส่องแสงสว่างเรืองรองยิ่งนัก เหมาะจะเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวเรื่องที่เว่ยอี้จือถูกเมิน
วันถัดมายังต้องเดินทางไปที่หลันถิงอีก ทุกคนที่เพิ่งมาถึงย่อมต้องไปพักผ่อนให้หายเหนื่อย ดังนั้นเมื่อฟังหวังจิ้งจือคุยฟุ้งอยู่พักใหญ่แล้วก็พากันแยกย้าย
หวังจิ้งจือเพิ่งจะนั่งลงในห้องพัก ลูกพี่ลูกน้องที่ชื่อหวังเฉียนก็วิ่งมากระซิบกระซาบกับเขา “ข้าเห็นท่านอัครเสนาบดีส่งสายตากับอู่หลิงอ๋องหลายครั้งระหว่างงานเลี้ยง ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจะต้องไม่ธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอกแน่ๆ”
หวังจิ้งจือยกถ้วยชาขึ้นแล้วเอ่ยถาม “ไม่ธรรมดาอย่างไรหรือ”
“หากไม่ใช่มีการผูกมิตรเป็นการส่วนตัว ก็จะต้องมีสัมพันธ์สวาทเป็นการลับ”
“พรืด…” หวังจิ้งจือถึงกับสำลักชาที่เพิ่งดื่มไปอึกหนึ่งออกมาทั้งหมด
หวังเฉียนเองก็นิยมชมชอบในบุรุษเพศจึงยากที่จะไม่คิดนอกลู่นอกทาง เขาปาดคราบน้ำชาที่เปรอะเสื้อด้านหน้าตนเองออกราวกับไม่เห็นเป็นสำคัญ แล้วเอ่ยขึ้นอีก “จะว่าไป เหตุใดพี่ชายจึงจงใจเพ่งเล็งอู่หลิงอ๋องเล่า ครอบครัวทางมารดาของเขาก็เป็นญาติกับสกุลหวังเรานี่นา”
หวังจิ้งจือเหลือบมองเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไม่เข้าใจก็ช่างเถอะ ขอให้เว่ยอี้จือเข้าใจก็พอแล้ว”