เล่ออันไม่ได้ถูกนำตัวกลับไปที่จวนต้าซือหม่า แต่ถูกนำตัวไปที่บ้านเดิมของสกุลเว่ย บ้านหลังนั้นอยู่ในตรอกอูอี ตั้งแต่บิดาของเว่ยอี้จือลาโลกไป เขาก็ถูกตั้งเป็นอ๋องแล้วถูกส่งตัวออกไปนอกเมือง จึงไม่เคยได้พักอาศัยที่นี่ ยามนี้จึงมีคนรับใช้อยู่ในบ้านนี้ไม่มากนัก เหมาะจะใช้เป็นที่ซ่อนคนได้พอดี
เว่ยอี้จือพาเล่ออันไปกินดื่มดีๆ ทั้งยังบอกเขาว่าอย่าออกไปข้างนอกเป็นอันขาด เนื่องจากตนเองกำลังเสี่ยงชีวิตเพื่อคุ้มครองเขา
เล่ออันซาบซึ้งใจอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าแผนนี้ไม่อาจใช้ได้นาน เขายังเป็นขุนนางอยู่ จะหลบซ่อนเช่นนี้ไปตลอดชีวิตได้อย่างไร
ความจริงกลับยุ่งยากกว่าที่เล่ออันคิดไว้มาก วันต่อมาหลังจากเข้าเฝ้าแล้ว เว่ยอี้จือก็มาพบเขา แล้วขอให้เขาจากไปด้วยความรู้สึกผิด
“อู่หลิงอ๋องบอกมาตามตรงเถิด เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เว่ยอี้จือทอดถอนใจ “ข้าคิดไปว่าใต้เท้าเล่อเพียงถูกปรักปรำอย่างไม่เป็นธรรม จึงสู้เสี่ยงชีวิตเผชิญหน้ากับท่านอัครเสนาบดีเพื่อช่วยท่านออกมา ไหนเลยจะรู้ ลู่ซีฮ่วนกลับให้การซัดทอดเจ้าแล้ว…เฮ้อ เพราะเรื่องนี้ข้าจึงเอาตัวไม่รอด แล้วจะคุ้มครองท่านได้อย่างไร”
เล่ออันตกใจจนหน้าถอดสี เขาปราดเข้าไปคุกเข่ากับพื้น “อู่หลิงอ๋องโปรดช่วยข้าด้วย ข้าไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ อันที่จริงข้าถูกลู่ซีฮ่วนบีบบังคับ มิเช่นนั้นข้าจะทรยศท่านอัครเสนาบดีได้อย่างไร ทางสายนี้ไม่มีทางให้หวนกลับแล้ว”
เว่ยอี้จือประคองเขาลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ข้าก็อยากจะช่วยท่าน แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังทรงเป็นกังวลต่อเรื่องนี้ เกรงว่าคงไม่มีทางเลิกราง่ายๆ แล้ว หากท่านไม่บอกความจริงทั้งหมดกับข้า ข้าก็จำต้องส่งท่านออกไปจากจวน ข้าได้ยินว่าท่านอัครเสนาบดีส่งคนไปที่บ้านท่านแล้วด้วย”
เล่ออันคุกเข่าลงไปอีก ร้อนใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา “ข้าจะบอกท่านตามจริง อู่หลิงอ๋องโปรดช่วยชีวิตคนในบ้านข้าด้วย”
“เอาล่ะ อย่าเป็นกังวลไปเลย”
ตกกลางคืน ฝูเสวียนก็ไปที่จวนเสนาบดี เขานำคำสารภาพที่มีการลงชื่อแล้วไปส่งมอบให้เซี่ยซู
“รวดเร็วดีจริง” เซี่ยซูเปิดออกอ่านพลางยิ้มแย้มพอใจ ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับแข็งค้างไปทันใด
ผ่านไปครู่ใหญ่ นางก็พับเก็บคำสารภาพนั้น แล้วสอบถามฝูเสวียน “จวิ้นอ๋องนายเจ้าตอนนี้ไปอยู่ที่ใด”
“อยู่ที่บ้านเก่าในตรอกอูอีขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดี ข้าจะไปพบเขาหน่อย”
เซี่ยซูพามู่ไป๋ไปด้วยเพียงคนเดียว นางไม่ได้ให้องครักษ์ติดตามไปคุ้มกัน ฉวยโอกาสตอนกลางคืนที่มืดมิด เดินเท้าติดตามฝูเสวียนไปยังบ้านเก่าของสกุลเว่ย
เว่ยอี้จือย่อมคาดไม่ถึงว่าเซี่ยซูจะมาเยือน
ดึกดื่นป่านนี้แล้วเว่ยอี้จือกลับยังยืนอยู่ในสวนดอกไม้หลังบ้าน พิงศาลาพักร้อนเฝ้ามองปลาในสระที่ว่ายวนไปมาภายใต้แสงจันทร์
เซี่ยซูเข้ามาในศาลา นางยืนอยู่ข้างหลังเขา แล้วเอ่ยถามเบาๆ “จ้งชิงคิดเห็นเช่นไร”
เว่ยอี้จือเงยหน้าขึ้นมองนาง ใบหน้าครึ่งหนึ่งสะท้อนแสงจันทร์ ดูพร่าเลือนไม่ชัดเจน “เจ้าเล่า? พวกเขาจะก่อกบฏ เจ้าในฐานะอัครเสนาบดีคิดจะทำเช่นไร”
“ย่อมต้องยับยั้ง” เซี่ยซูยกชายเสื้อขึ้นแล้วนั่งลงบนราวกันตก “หรือข้าควรไปตั้งราชสำนักกับพวกฝ่ายใต้แล้วขึ้นเป็นอัครเสนาบดีแทน?”
เว่ยอี้จือยิ้มแล้วเอ่ยว่า “แผ่นดินย่อมจะเป็นของแซ่ซือหม่าอยู่ดี การผลัดเปลี่ยนแผ่นดินมักแลกมาด้วยราคาที่แพงยิ่งยวดเสมอ”
เซี่ยซูพยักหน้าแล้วถอนหายใจ
มีใครจะโชคดีเช่นข้าอีกหรือไม่ ยังไม่ทันจะได้นั่งในตำแหน่งอัครเสนาบดีอย่างมั่นคง ก็มีคนคิดโค่นล้มฮ่องเต้เสียแล้ว!
เว่ยอี้จือเหลือบมองที่ลำคอของเซี่ยซู อีกฝ่ายมักคุ้นเคยกับการสวมเสื้อตัวกลางที่มีปกคอตั้ง ยามที่เผยปกคอเสื้อสีขาวดุจหิมะจะดูเรียบร้อยและมิดชิดเสมอ
“แผลที่คอเจ้าหายดีหรือยัง”
“เกือบหายดีแล้ว” เซี่ยซูยิ้มพลางโคลงศีรษะ “เพียงแค่โดนข่วนเท่านั้น ดีกว่าถูกมีดบั่นคอมากนัก”
“ใช่แล้ว…” เว่ยอี้จือมองไปยังผิวน้ำในสระ “ดียิ่งกว่าถูกประหารยกครัวด้วย”
เซี่ยซูพลันหวนรำลึกถึงเรื่องที่เซี่ยหร่านเล่าให้ฟังได้ บรรพชนของพวกเขาสกุลเว่ยเคยเกือบจะถูกฆ่ายกครัวเมื่อคราวเหตุจลาจลแปดอ๋อง คิดแล้วนี่คงจะเป็นสาเหตุที่เขาไม่อยากให้ความวุ่นวายเช่นนั้นเกิดขึ้นมาอีก
ทั้งสองยังพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง ก่อนที่เซี่ยซูจะพามู่ไป๋กลับไป
ฝูเสวียนเห็นเว่ยอี้จือยังยืนอยู่ที่ศาลา เขาอดไม่ได้ต้องเข้าไปเตือน “จวิ้นอ๋องควรจะกลับย่านคลองขุดชิงซีได้แล้วกระมัง”
เว่ยอี้จือพยักหน้า พอเดินไปถึงข้างตัวเขาจู่ๆ ก็ถามขึ้น “ฝูเสวียน เจ้าเริ่มมีลูกกระเดือกตั้งแต่อายุเท่าใด”
ขณะเดินออกไป เซี่ยซูก็ใคร่ครวญคำพูดของเว่ยอี้จือที่ถามถึงบาดแผลที่คอเป็นพิเศษ ทันใดนั้นนางก็นึกอะไรขึ้นมาได้ รีบลูบที่ลำคอตนเอง ก่อนตระหนกจนเหงื่อเย็นชุ่มแผ่นหลัง
โปรดติดตามตอนต่อไป…