หวังจิ้งจืออาจส่งคนออกมาตามหาก็ได้ เซี่ยซูต้องคอยระวังตัวไว้ว่าอาจไม่ได้มีแต่คนร้ายคอยออกตามหานาง
เมื่อไม่มีรองเท้าแล้ว เซี่ยซูก็ได้แต่ใช้ฟางที่เก็บมาก่อนหน้านี้ถักเป็นรองเท้าฟางใส่ไปก่อน
ตอนเด็กๆ มารดาเคยสอนนางมาก่อน แต่นั่นก็นานมาแล้ว นางจึงเริ่มร้างวิชา ถักไปข้างหนึ่งรองเท้าก็ดูหลวมโพรกไม่เป็นทรง ถึงกระนั้นก็ยังเอามาสวมเท้าพลางเหลือบมองเงาในน้ำ นางยิ้มพลางกระซิบบอก “ข้าจะใช้ชีวิตต่อไปให้ดี ท่านแม่”
เพิ่งสวมรองเท้าทั้งสองข้างได้ไม่ทันไร หูก็แว่วเสียงฝีเท้าอีกครั้ง เซี่ยซูใจเต้นไม่เป็นส่ำ นางนวดหว่างคิ้วด้วยความเครียด คราวนี้คงหนีไม่รอดแล้วสินะ
แต่ที่มากลับมีคนเดียว
เว่ยอี้จือยืนอยู่ต่อหน้าเซี่ยซูพลางส่งยิ้มให้ “ตามคนกลุ่มนี้อยู่นานเชียวกว่าจะหาเจ้าพบ คนมากมายเช่นนั้นยังจับตัวเจ้าคนเดียวไม่ได้ ไม่เห็นจะต้องให้ข้ามาตามหาเลยนี่”
พอเซี่ยซูเห็นเขาก็รีบทำท่าสะเทือนใจทันที “อา จ้งชิง เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้าแทบจะต้านคนพวกนั้นต่อไปไม่ไหวแล้ว”
เว่ยอี้จือกลั้นยิ้มแล้วเอ่ยว่า “พูดอะไรเช่นนั้น เจ้าคนเดียวต้านร้อยคนได้เชียวนะ”
เซี่ยซูรู้แล้วว่าเว่ยอี้จือคิดอย่างไร ทั้งแน่ใจว่าตนเองปลอดภัยแน่แล้ว นางก็ถอนหายใจออกมาทันที ไม่คิดพูดเย้าเขาเล่นอีก รีบสอบถามสถานการณ์ทางมู่ไป๋กับตระกูลใหญ่อื่นๆ พอรู้ว่าหวังจิ้งจือน่าจะมาถึงในอีกไม่ช้า นางก็แอบนั่งขัดสมาธิอย่างแนบเนียน ซ่อนเท้าไว้ใต้ท่อนขา
ไม่มีทางอื่นแล้ว บัดนี้สวมแค่เพียงเสื้อตัวกลาง ไม่มีชายเสื้อที่พอจะคลุมปิดเท้าได้เลย
เว่ยอี้จือเห็นว่าพลบค่ำแล้วจึงหยิบหินไฟออกมาก่อไฟกองหนึ่ง แล้วเรียกให้เซี่ยซูถอดเสื้อผ้ามาผิงไฟให้แห้ง
เซี่ยซูมีหรือจะยอม นางบอกแค่เพียงว่าเสื้อผ้าแห้งนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องผิงไฟอีก
“เจ้ายังมากธรรมเนียมเช่นเคย”
เว่ยอี้จือไม่รู้เรื่องที่เซี่ยซูเป็นหญิง จึงไม่นึกสงสารนางหรือคิดว่าต้องดูแลนางเป็นพิเศษ ไม่เช่นนั้นอย่างน้อยก็จะต้องถอดเสื้อนอกออกมาให้นางสวมกันลมแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเซี่ยซูเองก็ไม่ทำตัวเป็นหญิง ทั้งไม่ทำทีไว้ตัวเฉกเช่นหญิงสาว นางหันมองรอบๆ แล้วพูดกับเขาว่า “ไม่รู้ว่าในป่าเขานี้มีเหยื่อให้ล่าบ้างหรือไม่ ข้าหิวแล้ว”
เว่ยอี้จือส่ายหน้า “ต่อให้มีก็ย่างกินไม่ได้ เจ้าอยากให้กลิ่นเรียกคนพวกนั้นมาอีกหรือ ถึงตอนค่ำถ้าหวังจิ้งจือยังไม่มาอีก ก็ต้องดับไฟกองนี้ก่อน”
“ที่ว่ามาก็ถูก” เซี่ยซูถอนหายใจอย่างผิดหวัง
เว่ยอี้จือลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะลองออกไปดูว่าพอมีอะไรที่กินได้บ้าง”
ภูเขากันดารห่างไกลผู้คน ไหนเลยจะมีอะไรให้กินได้ ตอนที่เว่ยอี้จือกลับมา ในมือจึงมีเพียงรากบัวสองราก เขาพูดกับเซี่ยซูว่า “ที่ตีนเขามีท่านลุงคนหนึ่งปลูกไว้ รากต้นบัวที่แห้งตายแล้วน่ะ ดีกว่าไม่มีอะไรกิน”
เซี่ยซูรับไปอย่างยินดียิ่ง นางยิ้มให้แล้วเอ่ยว่า “สิ่งนี้อร่อยนัก”
เว่ยอี้จือนั่งลงข้างๆ เซี่ยซู “เจ้าเคยกินมาก่อนหรือ”
“แน่นอน ตอนนั้นข้าอยู่ที่จิงโจว กินเจ้านี่ประทังชีวิตอยู่ครึ่งปี เคยกินมาสารพัดรูปแบบ แม้แต่เปลือกก็ยังเอามาทำอาหารได้หลายอย่าง”