บทที่ 8
คนทั้งหมดเดินทางกลับเมืองหลวงอย่างเอิกเกริก คราวนี้การรักษาความปลอดภัยแน่นหนากว่าตอนที่เดินทางมามากนัก
รถม้าหยุดพักที่เมืองซินอันเป็นการชั่วคราว เซี่ยซูเพิ่งได้ถือถ้วยชานั่งลงในศาลาพักร้อน หวนถิงก็พาอีกสองสามคนกรูกันเข้ามา แต่ละคนแยกนั่งกันคนละมุม อยากจะมาพูดคุยเล่นเป็นเพื่อนอัครเสนาบดี
เซี่ยซูโบกมือ “ข้าคุยไม่เก่งหรอก พวกเจ้าไปหาอู่หลิงอ๋องเถอะ ชื่อเสียงความเจ้าสำราญของเขาก็ไม่แพ้หวังจิ้งจือหรอก”
หวนถิงสีหน้าระรื่นขณะเอ่ยว่า “ท่านคงไม่ทราบอะไร เมื่อก่อนฝีปากของจ้งชิงนับว่าจัดจ้านจริงเชียว หยวนชิ่งซึ่งเป็นสมุหกลาโหมคนก่อนยังเรียกเขาว่า ‘ลิ้นสามชุ่น’ เลย เทียบกับตัวเขาเมื่อตอนเป็นเด็กไว้ผมจุกแล้ว ตัวเขาในยามนี้คงเทียบไม่ติด น่าเสียดายที่ต่อมาเซียงฮูหยินไม่ให้เขาพูดมากอีก เขาจึงค่อยๆ พูดน้อยลงจนบัดนี้แทบไม่ได้พูดคุยกับพวกข้าแล้ว ส่วนมากแล้วจะเป็นคนคอยฟังเท่านั้น”
เซี่ยซูได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกสงสัย “เหตุใดเซียงฮูหยินไม่ให้เขาพูดมากเล่า”
ที่ข้างหลังมีเสียงพูดดังขึ้น “เพราะพูดมากก็อาจพลั้งพลาดเอาได้น่ะสิ”
เซี่ยซูหันไปมองก็เห็นเว่ยอี้จือค่อยๆ เดินมา ข้างหลังยังมีหวังลั่วซิ่วตามมาด้วย
พอเห็นหญิงสาวมาด้วย ทุกคนก็เขยิบเพื่อเปิดทางกว้างขึ้นให้หวังลั่วซิ่วได้นั่งห่างจากที่นั่งของพวกบุรุษออกไป
เว่ยอี้จือนั่งลงข้างเซี่ยซู เขามองไปรอบๆ พลางยิ้มเอ่ยว่า “แต่ละคนรู้จักเล่นงานข้าลับหลังกันดีนักนะ ไม่รู้ว่าคิดวางแผนการอะไรกันอยู่”
หวนถิงฉีกยิ้มกว้างแล้วเอ่ยล้อเลียนเขา “ใครให้เจ้าเอาแต่ดูแลคนอื่นจนไม่ยอมคุยกับพวกข้าเล่า ไม่เล่นงานเจ้าแล้วจะให้เล่นงานผู้ใดกัน” พูดจบก็หันไปมองหวังลั่วซิ่วตั้งใจจะเย้าแหย่
อย่างไรเสียหวังลั่วซิ่วก็เป็นเด็กสาวที่ได้รับการอบรมมาดี นางจึงเพียงหน้าแดงระเรื่อแต่ไม่ถึงกับทำอะไรไม่ถูก นางรับถ้วยชาจากสาวใช้แล้วก้มหน้าจิบช้าๆ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
หยางจวี้หันไปส่ายหน้าแล้วถอนหายใจกับหวนถิง “ข้าว่าเป็นเอินผิงต่างหากที่ควรถูกมารดาเขาเอ็ดให้รู้จักหุบปากเสียบ้าง”
ทุกคนต่างหัวเราะเสียงดัง
หัวเราะแล้วก็พูดคุยเล่นกันต่อ พูดคุยกันไปจนถึงเรื่องที่เซี่ยซูถูกจู่โจม
หวนถิงไม่ทราบถึงต้นสายปลายเหตุจึงพูดด้วยความสงสัยว่า “เขาว่ากันว่าตระกูลใหญ่ทางใต้มีอำนาจมาก ทว่าเหตุใดจึงเกิดเรื่องขึ้นในถิ่นของพวกเขาได้เล่า ข้าว่านะ ที่พูดกันว่าพวกเขามีอำนาจยิ่งใหญ่เห็นทีจะเป็นแค่การคุยโวโอ้อวดเท่านั้นเอง”
เซี่ยซูโบกพัดจีบ เพียงยิ้มโดยไม่พูดอะไร ทันใดนั้นก็ได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนของสตรีดังขึ้น “คุณชายหวนพูดผิดแล้ว หากเจ้าได้ยินเรื่องสมรภูมิพัดขาวมาก่อนก็จะรู้ว่าตระกูลทางใต้เก่งกาจสามารถเพียงใด”
ทุกคนต่างตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เพราะผู้ที่พูดขึ้นมาก็คือหวังลั่วซิ่ว
เซี่ยซูรู้สึกว่าน่าสนใจจึงหันไปยกมือให้นาง “ข้าขอฟังรายละเอียดสักหน่อยเถิด”
หวังลั่วซิ่วมองเซี่ยซูแวบหนึ่ง ใบหน้ายิ่งแดงระเรื่อ นางก้มหน้าช้าๆ แล้วเอ่ยว่า “ตอนนั้นทางเหนือเกิดความวุ่นวายต้องการใช้พืชผลจากทางเจียงหนานไปช่วยอุดหนุน ทว่าเฉินหมิ่นที่ดูแลการลำเลียงเสบียงกลับฉวยโอกาสยึดเอาทั้งเงินและพืชผลเอาไว้ ทั้งยังปลุกปั่นเหล่าทหารให้ก่อการกบฏ ตระกูลใหญ่ทางใต้จึงระดมพลไปปราบเฉินหมิ่น พวกเขาระดมพลได้ห้าหมื่นนาย ตั้งทัพยันไว้คนละฟากของแม่น้ำ เพียงกู้หรงจากสกุลกู้ใช้พัดสีขาวเล่มเดียวโบกไปมาที่ริมฝั่งแม่น้ำ เฉินหมิ่นก็พ่ายแพ้แล้ว ต้องแตกทัพหนีกระจัดกระจาย นี่ก็คือสมรภูมิพัดขาวที่ว่า”
หวนถิงฟังแล้วประหลาดใจ “เก่งกาจอะไรเพียงนี้”
หวังลั่วซิ่วพยักหน้า “กองกำลังของเฉินหมิ่นล้วนแต่เป็นคนในพื้นที่เจียงหนาน ไหนเลยจะกล้าต่อกรกับตระกูลใหญ่ในพื้นที่ ตระกูลทางใต้ไม่เพียงมีอำนาจเท่านั้น พวกเขายังมีบารมีเป็นที่น่าเกรงขามด้วย”