จู่ๆ เว่ยอี้จือก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง มองเหม่อไปทางทิศเหนือ “คนไม่ตายก็ถือเป็นเรื่องดี หากข่าวด่วนที่ข้าได้รับตอนนั้นเป็นเรื่องโกหกก็คงจะดี”
เซี่ยซูไม่คิดว่าเรื่องนี้จะทำให้เว่ยอี้จือหวนนึกถึงเรื่องที่เจ็บปวดใจ นางพลันรู้สึกผิดขึ้นมา
อันที่จริงก่อนที่จะได้ยินเรื่องราวของเว่ยอี้จือ นางก็คิดมาตลอดว่าคนในตระกูลชั้นสูงเช่นพวกเขาไม่น่าจะมีเรื่องราวในอดีตที่เจ็บปวด
พวกเขาล้วนอยู่ท่ามกลางสิ่งสวยงาม สุราชั้นดี บ้านเรือนหรูหรา ผู้คนงดงาม หากจะมีเรื่องให้เสียใจบ้างก็คงเพราะสะเทือนใจกับทัศนียภาพ หรือไม่ก็ไม่ได้รับตำแหน่งสูงมีรายรับที่งดงามเท่านั้นแหละ
พวกเขาคงไม่รู้ว่าอะไรคือตั๊กแตนบินว่อน ผืนดินแตกระแหง อะไรที่เรียกว่าอดอยากปากแห้งใกล้ตาย ยิ่งไม่รู้ว่าการได้มีชีวิตรอดเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดในชั่วชีวิตนี้แล้ว
แปดปีในจวนสกุลเซี่ย นางคิดว่าตนเองมองแก่นแท้ของลูกหลานตระกูลชั้นสูงจนทะลุปรุโปร่งแล้ว พอได้พบเว่ยอี้จือกลับพบว่าเขาดูไม่เหมือนกับสิ่งที่นางได้รับรู้มาเลยสักนิด
นางเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างจงใจ ก่อนเอ่ยเสนอขึ้น “นานแล้วที่ไม่ได้ไปดื่มสุราที่ฉางกั้น เจ้ากับข้าไปดื่มด้วยกันเสียหน่อยเป็นไร”
เว่ยอี้จือตื่นจากภวังค์ เขาหันมาพยักหน้าแล้วยิ้ม “ได้สิ”
เพิ่งจะออกเดิน ข้างหลังก็มีเสียงรถม้าเคลื่อนมา มีคนตะโกนเรียก “ท่านอัครเสนาบดี โปรดรอก่อน!”
เซี่ยซูหันไปดูก็พบว่าเป็นหวังจิ้งจือนี่เอง
หวังจิ้งจือถอยกลับเข้าไปในตัวรถ ไม่ช้าก็ลงจากรถแล้วเดินเข้ามาหา เขาหยิบเสื้อคลุมตัวหนึ่งที่จัดแจงพับไว้อย่างเรียบร้อยประคองด้วยสองมือยื่นส่งให้ “วันนั้นข้าดื่มเหล้าจนเสียกิริยาไป นับว่าล่วงเกินท่านแล้ว ท่านยังใจกว้างห่มเสื้อคลุมให้ข้าอีก ข้าละอายใจนัก”
เซี่ยซูรับไปแล้วยิ้มให้ “เรื่องเล็กน้อยน่ะ หากท่านเจ้าเมืองเกิดล้มป่วยขึ้นมาย่อมไม่ดีแน่ ข้าเพิ่งฟื้นจากการป่วยไข้ย่อมรู้รสชาติของการเจ็บป่วยเป็นอย่างดี”
เว่ยอี้จือเห็นทั้งสองเหมือนว่าได้ติดต่อกันเป็นการส่วนตัวก็พูดแทรกขึ้นมา “ท่านเจ้าเมืองหวังไปล่วงเกินท่านอัครเสนาบดีได้อย่างไรกัน”
หวังจิ้งจือมีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ “นี่…น่าอายที่จะพูดถึงจริงๆ”
เซี่ยซูรู้ความคิดของเว่ยอี้จือ เกรงว่ายิ่งปิดบังจะยิ่งมีพิรุธ แล้วจะทำให้เขาสงสัยหนักขึ้น นางจึงพูดอย่างเปิดเผยว่า “จะเล่าก็เกรงว่าอู่หลิงอ๋องจะหัวเราะ ท่านเจ้าเมืองหวังล้อข้าเล่นว่าหากข้าเป็นหญิงเขาจะต้องไปสู่ขอถึงที่จวนแน่ ฮ่าๆๆๆ”
หวังจิ้งจือส่ายหน้า แม้แต่ตนเองฟังแล้วยังนึกขำ
เว่ยอี้จือเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของเซี่ยซู “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง”
หวังจิ้งจือเห็นเว่ยอี้จืออยู่ตรงนี้ด้วยก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้น “วันนี้บังเอิญเสียจริง ได้พบท่านอัครเสนาบดีกับอู่หลิงอ๋องร่วมทางกันมา เช่นนั้นทั้งสองท่านไปที่เรือนพักรับรองของข้าที่อยู่ใกล้ๆ นี้เถิด สังสรรค์กันสักเล็กน้อยเป็นอย่างไร”
เซี่ยซูหันไปหาเว่ยอี้จือ “อู่หลิงอ๋องมีความเห็นเช่นไร”
“แล้วแต่ท่านเถอะ”
“เช่นนั้น เคารพมิสู้เชื่อฟัง พวกเราไปกันเถอะ” นางเอ่ยอย่างยินดี
ตอนที่ขึ้นรถม้า เว่ยอี้จือจงใจนั่งให้ห่างจากหวังจิ้งจือเสียหน่อย แล้วกระซิบบอกเซี่ยซูว่า “สกุลหวังกับสกุลเซี่ยขับเคี่ยวกันมาหลายปี ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะสนิทสนมกับหวังจิ้งจือได้”
เซี่ยซูยิ้มพลางกระซิบว่า “ที่ไหนกันเล่า เป็นการพบกันโดยบังเอิญแท้ๆ คนที่สนิทสนมกับข้าจริงๆ ก็มีแต่เจ้านั่นแหละ”
เว่ยอี้จือได้ฟังคำตอบของเซี่ยซูแล้ว ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าคำพูดของตนเองเหมือนกำลังหึงหวงอีกฝ่ายอย่างไรอย่างนั้น เขาอดจะนิ่วหน้าไม่ได้